วัดป่าสุธัมมาราม
เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:พระมหากัปปินะเถระ กัณฑ์ที่ ๒
พระธรรมบทเทศนา
พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา
(๔) เรื่องพระมหากัปปินะเถระ [๖๓]
กัณฑ์ที่ ๒
-----------------------------
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา
อริยปุปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโตติ
อนุสนธิ พระธรรมเทศนา ณ บัดนี้จะวิสัชนาพระธรรมเทศนา เรื่องพระมหากัปปินะเถระ สืบต่อจากกัณฑ์ที่ ๑ เป็นลําดับไปดําเนินความว่า
เตปิ วาณิชกา ราชกุลํ คนฺตฺวา - ฝ่ายว่าพวกพ่อค้าทั้งหลาย ๕๐๐ เหล่านั้น ครั้นเดินทางไปถึงพระนครแล้ว ก็พากันไปยังพระราชวัง แจ้งพระราชหัตถเลขาที่พระราชาทรงฝากมานั้นให้เจ้าหน้าที่พระราชสํานักทราบ ครั้นพระราชเทวีทรงตรัสอนุญาตให้เข้าเฝ้าแล้ว ก็พากันเข้าไปถวายบังคม แล้วนั่งอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ขณะนั้นพระราชเทวีมีพระราชเสาวนีย์ตรัสถามพ่อค้าเหล่านั้นว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย พวกท่านทั้งหลายพากันมา ณ ที่นี้ด้วยมีความประสงค์อะไร ” พวกพ่อค้ากราบทูลว่า “ หม่อมฉันทั้งหลาย พระราชามีพระราชบัญชาสั่งให้มาเฝ้าพระแม่เจ้า ทราบว่าพระแม่เจ้าจะพระราชทานทรัพย์จํานวนสามแสนแก่พวกหม่อมฉัน พระเจ้าข้า ” พระราชเทวีมีพระราชเสาวนีย์ว่า “ พ่อมหาจําเริญท่าน ทั้งหลายพูดมากไป พวกท่านได้ทําอะไรให้แก่พระราชาหรือ พระราชาทรงเลื่อมใสพวกท่านในเพราะเหตุอะไร จึงทรงให้ฉันพระราชทานทรัพย์แก่พวกท่านจํานวนถึงเท่านั้น ” พวกพ่อค้ากราบทูลว่า “ ข้าแต่พระแม่เจ้า พวกหม่อมฉันไม่ได้กระทําอะไรอย่างอื่น แต่ได้กราบทูลข่าวสาส์นแด่พระราชา พระเจ้าข้า ” พระราชเทวีดํารัสถามว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย ก็พวกท่านสามารถที่จะบอกข่าวสาส์นนั้นให้ฉันทราบได้หรือไม่เล่า ” พวกพ่อค้ากราบทูลว่า “ สามารถที่จะกราบทูลให้ทรงทราบได้ พระเจ้าข้า ” พระราชเทวีทรงอนุญาตว่า “ ถ้าดังนั้น พวกท่านบอกได้ พ่อมหาจําเริญ ” พวกพ่อค้ากราบทูลว่า “ ข้าแต่พระแม่เจ้า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ” พระราชเทวีนั้น พอได้ทรงสดับข่าวนั้น ก็ทรงมีพระปีติซาบซ่านไปทั่วพระสรีรกาย เหมือนกับพระราชา ทรงกําหนดความอะไรไม่ได้ถึงสามครั้ง ครั้นถึงครั้งที่สี่พอได้ทรงสดับบทว่า พุทโธ แล้วดํารัสถามว่า “ พ่อมหาจําเริญ ในบท พุทโธ นี้ พระราชาพระราชทานทรัพย์ให้แก่พวกท่านเท่าไร “ พวกพ่อค้าทูลว่า “ พระราชทานให้แสนหนึ่ง พระเจ้าข้า ” พระราชเทวีมีพระราชเสาวนีย์ว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย พระราชาได้ทรงสดับข่าวสาส์นเห็นปานนี้ แล้วพระราชทานทรัพย์ให้เป็นรางวัลแก่พวกท่านเพียงแสนเดียวนั้น ชื่อว่าทรงทํายังไม่สมควรกัน แต่ฉันขอให้รางวัลแก่พวกท่านในบรรณาการอันยากเข็ญของฉันจํานวนสามแสน พวกท่านได้กราบทูลข่าวอย่างอื่นอะไรแก่พระราชาอีกเล่า พ่อมหาจําเริญ ” พวกพ่อค้าได้กราบทูลอีกสองข่าว คือ ข่าวพระธรรมเกิดขึ้นแล้วในโลก และพระสงฆ์เกิดขึ้นแล้วในโลกเหมือนอย่างกล่าวมาในตอนที่กราบทูลแด่พระราชา พระราชเทวีพอได้ทรงสดับข่าวนั้นๆ แล้ว ทรงมีพระปีติมีวรรณะ ๕ ซาบซ่าน ปทั่วพระสรีรกายเหมือนครั้งก่อน ทรงกําหนดด้วยคําอะไรไม่ได้ถึงสามครั้ง ครั้นถึงครั้งที่สี่ได้ทรงสดับเช่นนั้นๆ อีกแล้ว จึงพระราชทานรางวัลให้แก่พวกพ่อค้าข่าวละสามแสนๆ พวกพ่อค้าเหล่านั้นได้รับพระราชทานรางวัลหมดด้วยกันทั้งสิ้นเป็นทรัพย์จํานวน ๑๒ แสน ด้วยประการฉะนี้
อถ เน เทวี ปุจฺฉิ - ลําดับนั้น พระราชเทวีมีพระราชเสาวนีย์ตรัสถามพ่อค้าเหล่านั้นว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย พระราชาเสด็จไปไหน ” พวกพ่อค้ากราบทูลว่า “ ข้าแต่พระแม่เจ้า พระราชาตรัสว่าเราจักผนวชอุทิศเฉพาะต่อสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วก็เสด็จไปแล้ว ” พระราชเทวีมีพระดํารัสตรัสถามว่า “ พ่อมหาจําเริญ พระราชาได้พระราชทานข่าวอะไรมาให้แก่ฉันบ้างหรือ ” พวกพ่อค้ากราบทูลว่า “ ได้ยินว่าพระราชาทรงมอบเวนอิสริยสมบัติถวายแด่พระแม่เจ้าหมดทุกอย่าง ได้ยินว่าขอพระแม่เจ้าจงทรงเสวยพระราชสมบัติตามแต่ที่จะทรงมีพระราชประสงค์ ” พระราชเทวีตรัสถามต่อไปว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย ก็พวกมุขอํามาตย์พากันไปไหนเล่า ” พวกพ่อค้ากราบทูลว่า “ แม้พวกมุขอํามาตย์เหล่านั้นพูดว่า เราก็จักบวช โดยเสด็จพระราชานั้นเทียว แล้วพากันตามเสด็จไปแล้ว พระเจ้าข้า ” พระราชเทวีทรงรับสั่งหาบรรดาภริยาของมุขอํามาตย์ให้มาเฝ้า แล้วมีพระราชเสาวนีย์ปรึกษาว่า “ แม่มหาจําเริญทั้งหลาย สามีของพวกเธอพูดว่าจักบวชตามเสด็จพระราชาแล้วก็พากันตามเสด็จไปแล้ว พวกเธอจักทําอย่างไรกัน ” พวกภริยามุขอํามาตย์กราบทูลถามว่า “ ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สามีของพวกหม่อมฉันนั้นส่งข่าวมาให้แก่พวกหม่อมฉันว่าอย่างไร พระเจ้าข้า ” พระราชเทวีตรัสบอกว่า “ ได้ยินว่า สามีของพวกเธอนั้นสละสมบัติของตนๆ ให้แก่พวกเธอทั้งหมด ได้ยินว่า พวกเธอจงบริโภคใช้สอยสมบัตินั้นๆ ตามความประสงค์ของตนๆ ” พวกภริยามุขอํามาตย์กราบทูลถามพระราชเทวีว่า “ ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็พระแม่เจ้าจักทรงปฏิบัติอย่างไร พระเจ้าข้า ” พระราชเทวีทรงตอบชี้แจงอย่างคมคายว่า “ แม่มหาจําเริญทั้งหลาย พระราชานั้นครั้นได้ทรงสดับข่าวอันเป็นมงคล ได้ทรงดํารงพระองค์ไว้ในทางที่ถูกก่อน ทรงบูชาพระรัตนะทั้งสามด้วยทรัพย์สามแสน แล้วทรงละพระราชสมบัติทิ้งเป็นดุจก้อนน้ำลาย เสด็จออกด้วยทรงมั่นหมายพระราชหฤทัยว่าจักทรงผนวช ส่วนฉันได้ทราบข่าวพระรัตนะทั้งสามแล้วบูชาพระรัตนะทั้งสามด้วยทรัพย์เก้าแสน ก็ขึ้นชื่อว่าราชสมบัตินี้ ไม่ใช่แต่จะนําทุกข์มาให้แด่พระราชาเท่านั้น ย่อมนําทุกข์มาให้แม้แก่ฉันด้วยเหมือนกัน ใครเล่าจักคุกเข่าทั้งสองลงเอาปากรองรับก้อนน้ำลายที่พระราชาทรงบ้วนทิ้ง ฉันไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ แม้ฉันก็จักไปบวชอุทิศเฉพาะต่อพระบรมศาสดา ” พวกภริยามุขอํามาตย์กราบทูลคล้อยตามว่า “ ข้าแต่พระแม่เจ้า แม้พวกหม่อมฉันทั้งหลายก็จักขอบวชกับพระแม่เจ้านั้นเที่ยว ” พระราชเทวีมีพระราชดํารัสว่า “ ถ้าพวกเธอสามารถที่จะบวช ข้อนั้นเป็นความดี แม่มหาจําเริญทั้งหลาย ” พวกภริยามุขอํามาตย์กราบทูลยืนยันว่า “ พวกหม่อมฉันสามารถที่จะบวชพระเจ้าข้า ” พระราชเทวีมีพระราชเสวนีย์ว่า “ ดีแล้วแม่มหาจําเริญทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงมาไปด้วยกัน ” ทรงให้เทียมรถขึ้นพันคันแล้วเสด็จขึ้นสู่รถเสด็จออกไปพร้อมด้วยหมู่ภริยามุขอํามาตย์เหล่านั้น ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำแม่แรกในระหว่างทาง ตรัสถามสตรีราชบริพารเหมือนกับพระราชาได้ตรัสถามหมู่มุขอํามาตย์ ครั้นทรงทราบประวัติการทั้งปวงแล้วทรงรับสั่งว่า “ พวกเธอจงตรวจดูรอยทางที่พระราชาเสด็จไปแล้ว ” เมื่อหมู่สตรีราชบริพารกราบทูลว่า “ ไม่เห็นรอยเท้าม้าสินธพเลยพระเจ้าข้า ” พระราชเทวีทรงระลึกถึงคุณแห่งพระรัตนะทั้งสามพร้อมกับทรงอธิษฐานว่า “ พระราชาทรงจักกระทําสัตยาธิษฐานว่า ข้าพเจ้าจะออกมาอุทิศเฉพาะต่อพระรัตนะทั้งสามดังนี้ เสด็จไปได้แล้ว แม้ข้าพเจ้าก็ออกมาอุทิศเฉพาะต่อพระรัตนะทั้งสาม ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนะทั้งสามของข้าพเจ้า ขอน้ำนี้จงอย่าได้เป็นเหมือนน้ำ ครั้นแล้วทรงส่งรถไปทั้งพันคัน น้ำได้ปรากฏเช่นกับหลังแผ่นหิน รถทั้งพันคันได้เปียกเฉพาะแต่วงคุมปลายล้อเท่านั้น พระราชเทวีพร้อมด้วยสตรีราชบริพารได้ทรงข้ามแม่น้ำอีกสองแม่ไปได้โดยสวัสดีด้วยทํานองนี้นั่นแล.
อถ สตฺถา - ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ครั้นทรงทราบว่าพระราชเทวีเสด็จมา ได้ทรงบันดาลมิให้ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งนั่งอยู่ที่สํานักของพระองค์นั่นเองมิให้ปรากฏเห็นตัว ฝ่ายพระราชเทวี เมื่อเสด็จมาๆ โดยลําดับ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระรัศมีอันพุ่งออกจากพระสรีรกายของสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วทรงพระราชดําริเหมือนกับพระเจ้ามหากัปปินะะราชา ทรงน้อมพระองค์ลงเสด็จเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วประทับยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลถามว่า “ ข้าแด่สมเด็จพระพุทธองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระเจ้ามหากัปปินะะเสด็จออกมาอุทิศเฉพาะต่อสมเด็จพระพุทธองค์ คงจะเสด็จมา ณ ที่นี้เดี๋ยวนี้พระองค์เสด็จไปไหน ขอสมเด็จพระพุทธองค์ทรงพระกรุณาชี้บอกพระเจ้ากัปปินะแก่หม่อมฉันด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า ” สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสปฏิสันถารว่า “ เชิญประทับนั่งก่อนเถิด พระนางจักทรงเห็นพระเจ้ากัปปินะนั้น ณ ที่ตรงนี้นั่นแล ” หมู่สตรี ซึ่งมีพระราชเทวีเป็นประมุข เหล่านั้นต่างก็พากันมีจิตร่าเริงยินดีพร้อมกันนั่งลงด้วยหมายใจว่า ครั้นนั่งแล้วก็จักได้เห็นสามีของตนๆ ณ ที่ตรงนี้นั่นเทียว สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุบุพพิกถาโปรดสตรีเหล่านั้น ในเวลาจบพระธรรมเทศนา พระนางอโนชาราชเทวีพร้อมทั้งสตรีราชบริพารก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ฝ่ายพระมหากัปปินะเถระพร้อมทั้งภิกษุบริวาร ฟังพระธรรมเทศนาที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงอธิบายขยายความแก่หมู่สตรีเหล่านั้น ก็ได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ในทันใดนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ก็ทรงแสดงภิกษุเหล่านั้นผู้บรรลุพระอรหันต์แล้วให้สตรีเหล่านั้นได้เห็น ได้ยินว่าถ้าสตรีเหล่านั้นได้เห็นสามีของตนผู้ทรงผ้ากาสาวพัสตร์มีศีรษะโล้นในขณะที่มาถึงครั้งแรก จิตก็จะไม่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ด้วยเหตุนั้นจักไม่อาจได้บรรลุมรรคผลทั้งหลาย เพราะฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงแสดงภิกษุเหล่านั้นผู้บรรลุพระอรหันต์แล้วให้สตรีเหล่านั้นเห็นในเวลาที่ดํารงมั่นอยู่ในศรัทธาอันไม่หวั่นไหวแล้ว คือสําเร็จเป็นพระโสดาบันอริยบุคคลแล้ว ด้วยประการฉะนี้
ตาปิ เต ทิสฺวา - ฝ่ายสตรีผู้ภริยาเหล่านั้น ครั้นเห็นภิกษุผู้สามีเหล่านั้นแล้ว ก็พากันกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วเรียนว่า " ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้บรรลุถึงซึ่งที่สุดแห่งกิจบรรพชิตก่อนแล้ว ” ครั้นแล้วกราบถวายบังคมพระบรมศาสดายืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่งแล้ว พร้อมกัน ทูลขอบรรพชา ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาได้มีพระพุทธดํารัสตรัสสั่งกับอุบาสิกาเหล่านั้นว่า “ ท่านทั้งหลาย จงพากันไปเมืองสาวัตถีแล้วบวชในสํานักแห่งภิกษุณีต่อไป ” อุบาสิกาเหล่านั้นพากันเดินทางไปโดยลําดับ ในระยะระหว่างทางมีมหาชนจัดเครื่องสักการะบูชาเป็นระยะๆ ไป ได้เดินทางด้วยเท้าสิ้นระยะทาง ๒,๐๐๐ โยชน์ ก็ถึงเมืองสาวัตถีไปบวชอยู่ในสํานักภิกษุณี ต่อมาก็ได้บรรลุพระอรหันต์ผลสําเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพสิ้นทั้งมวล ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงนําภิกษุจํานวนพันหนึ่งนั้นเสด็จกลับมาสู่พระเชตวัน มหาวิหาร โดยทางอากาศเวหาส์ ด้วยประการฉะนี้
ตตฺร สุทํ อายสฺมา มหากปฺปิโน - ได้ยินว่า ท่านพระมหากัปปินะะนั้น มักจะเที่ยวเปล่งอุทานตามที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันเป็นต้นว่า โอ สุขหนอ โอ สุขหนอ ดังนี้เสมอ ภิกษุทั้งหลายจึงนําความกราบทูลแต่สมเด็จพระบรมศาสดาให้ทรงทราบว่า “ ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์ พระมหากัปปินะะชอบเที่ยวเปล่งอุทานว่า “ โอ สุขหนอ โอ สุขหนอ ” ดังนี้ ชะรอยเห็นจะกล่าวเพ้อถึงความสุขในราชสมบัติของตนดอกกระมัง พระพุทธเจ้าข้า ” สมเด็จพระบรมศาสดารับสั่งให้พระมหากัปปินะะมาเฝ้าแล้ว ตรัสถามว่า “ กัปปินะได้ยินมาว่า เธอเปล่งอุทานเพ้อถึงสุขในราชสมบัติอันเป็นกามสุข จริงละหรือ ” พระมหากัปปินะเถระกราบทูลว่า “ ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงทราบดีว่าข้าพระองค์เปล่งอุทานเพ้อถึงสุขในราชสมบัติหรือไม่ประการใด “
สมเด็จพระบรมศาสดา จึงได้ทรงประทานพระพุทธโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย บุตรของเรามิได้เปล่งอุทานเพ้อถึงความสุขในราชสมบัติอันเป็นกามสุข แต่ว่าปีติในธรรมได้บังเกิดแก่บุตรของเรา บุตรของเรานั้น เปล่งอุทานอย่างนั้น เพราะปรารภถึงซึ่งอมตมหานิพพาน ” ครั้นแล้วเมื่อพระองค์จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลายสืบอนุสนธิต่อไป จึงได้ตรัสพระพุทธนิพนธคาถาเป็นปัจฉิมพจน์ ดังนี้ -
ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา
อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโต.
บุคคลผู้ดื่มธรรมมีจิตผ่องใสเป็นบัณฑิต ย่อมอยู่เป็นสุข
และยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้าแสดงแล้วตลอดกาล.
ภิกษุทั้งหลายจํานวนมากซึ่งฟังธรรมอยู่ ณ สมาคมนั้นส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดีในเวลาจบพระธรรมเทศนา ต่างก็ได้สําเร็จเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบันเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้แล.
ลําดับนี้ จะได้วิสัชนาอรรถาธิบายความในท้องนิทาน และในพระธรรมเทศนาพุทธนิพนธคาถา โดยอาศัยอรรถกถานัยและโดยอัตตโนมัตยาธิบาย เพื่อเฉลิมเพิ่มเติมสติปัญญาฉลองศรัทธาบารมี เพิ่มพูนกุศลบุญราษีส่วนธรรมสวนมัยแก่ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายสืบต่อไป
ในนิทานเรื่องนี้ค่อนข้างจะยาวต้องแบ่งเป็นธรรมเทศนา ๒ กัณฑ์ เพื่อให้สมควรแก่เวลา บัดนี้จะอธิบายความในธรรมเทศนาทั้ง ๒ กัณฑ์นั้น ดังต่อไปนี้ คือท่านพระมหากัปปินะเถระพร้อมด้วยภิกษุบริวารพันหนึ่ง กับภิกษุณีที่เคยเป็นภริยาอีกพันหนึ่งนั้นได้ร่วมกันสร้างบุญญาภินิหารมานาน เริ่มมาตั้งแต่ศาสนาของสมเด็จพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เมื่อนับถอยหลังไปจากพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ ก็เป็นพระองค์ที่ ๑๕ ต่อจากพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้าและก่อนพระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลครั้งนั้น พระมหากัปปินะเถระพร้อมทั้งบริวารได้เป็นนายช่างหูกอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลจากเมืองพาราณสี พระมหากัปปินะเถระเป็นหัวหน้านายช่างหูกทั้งหลาย และภริยาของนายช่างหูกนั้น เป็นผู้มีสติปัญญาดี และมีศรัทธาแก่กล้า วันหนึ่งได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าจํานวนพันองค์ จึงได้นิมนต์ให้มาฉันบิณฑบาตในหมู่บ้านของตน แล้วชักชวนบรรดาพวกช่างหูกในหมู่บ้านนั้น ซึ่งมีจํานวนพันหลังคาเรือนเหมือนกันช่วยกันถวายอาหารบิณฑบาต และในที่สุดได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าพันองค์นั้น ให้อยู่จําพรรษาตลอดไตรมาสสามเดือน และได้ร่วมกันเสียสละแรงงานสร้างบรรณศาลาขึ้นถวายถึงจํานวนพันหลัง ภายในพรรษาต่างก็ได้แบ่งกันเป็นโยมอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นเรือนละ ๑ องค์ ต่างก็ได้พากันปรนนิบัติอุปัฏฐากด้วยควมเคารพเลื่อมใสตลอดไตรมาส และภายในพรรษานั้นพากันสร้างผ้าจีวรถวายองค์ละผืนถึงพันผืน ผืนหนึ่ง ๆ มีมูลค่าถึงจํานวนพัน และด้วยอานิสงส์นั้นส่งให้ตระกูลนายช่างหูกทั้งพันตระกูลนั้น ได้ไปบังเกิดเป็นคณะเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสพิภพตลอดกาลนาน ด้วยประการฉะนี้
ครั้นจําเนียรกาลต่อมาในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า คณะเทพบุตรเหล่านั้น ก็ได้กลับลงมาบังเกิดเป็นกุฎมพีในเมืองพาราณสีอีก ก็พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ พระองค์หนึ่ง คือรองจากพระโคนาคมนสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้านับสงเคราะห์ในพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์แล้ว ก็เป็นองค์ที่ ๓ ดังนี้ ๑.กกุสันโธ ๒.โคนาคมโน ๓.กัสสโป ๔.โคตโม ๕.อริยเมตเตยโย ก็หัวหน้านายช่างหูกนั้นได้มาเป็นหัวหน้ากุฎมพี ส่วนบริวารและภริยาทั้งหลายก็ได้มาเกิดเป็นกุฎมพีบริวารและเป็นภริยาร่วมกันทั้งหมด วันหนึ่งคณะกุฎมพีพร้อมทั้งภริยาได้พากันไปฟังธรรมที่วัด ขณะที่ไปถึงกลางลานวัดนั้น ฝนก็ตกเทลงมาใหญ่ ผู้ที่มีภิกษุสามเณรอาศัยตระกูล หรือที่เรียกว่าเป็นลูกบุญธรรมก็ได้พากันเข้าไปอาศัยหลบฝนที่กุฏิพระภิกษุสามเณรเหล่านั้น ส่วนพวกที่ไม่มีภิกษุสามเณรเช่นนั้น ก็จําต้องยืนตากฝนเปียกปอนอยู่ที่กลางลานวัดนั้นเอง อาศัยเหตุที่เห็นประจักษ์เฉพาะหน้าครั้งนั้น หัวหน้ากุฎมพี จึงชี้ให้เห็นคุณและโทษว่าที่เราไม่มีที่อาศัยหลบฝนทั่วถึงกันนั้น ก็เพราะไม่ได้ทําบุญสร้างกุฏิวิหารถวายไว้ในพระศาสนา จึงชักชวนกันบริจาคทรัพย์ร่วมทุนสร้างพระวิหารถวายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสปะ เมื่อตกลงกันแล้วก็สร้างพระวิหารขนาดใหญ่มีเรือนยอดเป็นบริวารตั้งพันหลัง ครั้นสร้างเสร็จแล้วก็ทําบุญฉลองกันอย่างใหญ่โตมโหฬาร ถวายทานแก่พระสงฆ์ ๒ หมื่น ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน ในการทําบุญครั้งนั้น ภริยาของหัวหน้ากุฎมพีเป็นผู้มีปัญญาและเจริญด้วยศรัทธาแก่กล้าเป็นพิเศษ ได้จัดแจงตบแต่งดอกอังกาบและผ้าสาฎกสําหรับทําจีวรราคาพันหนึ่งไปเป็นส่วนพิเศษกว่าคนอื่น ๆ ทั้งหลาย ครั้นก่อนแต่พระสงฆ์จะอนุโมทนา นางก็ได้น้อมดอกอังกาบนั้นเข้าไปบูชาสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วนําผ้าสาฎกราคาพัน ซึ่งมีสีสันเหมือนดอกอังกาบไปวางไว้แทบพระบาทยุคลของพระพุทธองค์ แล้วตั้งปณิธานความปราถนาไว้ว่าจะเกิดชาติใดในภพไหนก็ขอให้มีผิวพรรณเหมือนสีดอกอังกาบ และให้ได้ชื่อว่าอโนชา (อังกาบ) ตลอดไป ด้วยอานิสงส์บุญครั้งนั้น คณะกุฎมพีทั้งหลาย เมื่อแตกกายตายไปแล้วก็ได้ไปบังเกิดบนเทวโลกสถานโดยพร้อมเพรียงกัน ด้วยประการฉะนี้
ครั้นจําเนียรกาลต่อมาในศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ คณะเทพบุตรเหล่านั้นก็ได้กลับลงมาเกิดในมนุษยโลกนี้อีก หัวหน้ากุฎมพีได้มาบังเกิดในราชตระกูลในกุกกุฏวตีนคร ครั้นทรงพระเจริญวัยก็ได้ทรงมุรธาภิเสกเป็นพระมหากษัตริย์มีพระนามว่า พระเจ้ามหากัปปินะราชา ครองกรุงกุกกุฏวตีนคร ส่วนภริยาของหัวหน้ากุฎมพี ก็ได้มาบังเกิดในราชตระกูลในสาคลนครในแว่นแคว้นมัททราษฎร์ ครั้นทรงพระเจริญวัยก็ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้ามหากัปปินะราชา มีพระนามว่าพระนางอโนชาราชเทวี ฝ่ายกุฎมพีบริวารและภริยาทั้งหลายก็ได้มาบังเกิดในตระกูลมุขอํามาตย์ราชมนตรี ครั้นเจริญวัยก็ได้เป็นมุขอํามาตย์ราชบริพารของพระเจ้ากัปปินะราชาสิ้นทั้งมวล ด้วยอํานาจบุญญาภินิหารที่ท่านเหล่านี้ ได้สร้างสมอบรมมานานและเป็นอันมากในอดีตกาลดังวิสัชนามาแล้วนั้น แม้ในชาติปัจจุบันนี้ จะได้เป็นผู้บริบูรณ์เพรียบพร้อมด้วยลาภยศสรรเสริญสุขทางโลกียวิสัยอย่างสูงยิ่งถึงเพียงนั้นแล้วก็ตาม แต่ก็มิได้หลงไหลในอิสริยสมบัติเห็นปานนั้น กลับเห็นราชสมบัติอิสริยสมบัติเป็นเสมือนก้อนเขฬะคือน้ำลาย พอได้ทราบจากสํานักพ่อค้าว่าพระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็สละละทิ้งสมบัติอันโลกถือว่ายิ่งใหญ่เห็นปานนั้น เสมือนบ้วนน้ำลายทิ้งแล้วไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ในที่สุดก็ได้บรรพชาอุปสมบทสําเร็จเป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา ฝ่ายพระนางอโนชาราชเทวีกับทั้งสตรีราชบริพารทั้งหลายพันหนึ่งนั้น ครั้นทรงทราบจากพวกพ่อค้าว่า พระราชาและมุขอํามาตย์ราชบริพารทั้งหลายไปบวชอุทิศชีวิตต่อสมเด็จพระบรมศาสดาแล้ว และได้ทรงมีพระบรมราชโองการมามอบพระราชสมบัติถวายแด่พระนางให้ทรงเสวยรมย์บริโภคตามพระราชประสงค์ แม้มวลมุขอํามาตย์ก็ส่งสาส์นมามอบสมบัติของตน ๆ ให้แก่ภริยาทั้งหลาย เช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น พระนางอโนชาราชเทวีได้มีพระราชเสาวนีย์อย่างคมคายกับบรรดาภริยามุขอํามาตย์ทั้งหลายว่า “ เชื่อว่าราชสมบัตินี้มิใช่แต่จะนํามาซึ่งความทุกข์แด่พระราชาเท่านั้น มันย่อมนําความทุกข์มาให้แม้แก่ฉันเช่นกัน ใครเล่าจักคุกเข่าทั้งสองลงแล้วเอาปากรับเอาก้อนเขฬะที่พระราชาบ้วนทิ้งนั้นเล่า ฉันไม่ต้องการราชสมบัติ ฉันจักบวชอุทิศชีวิตต่อพระบรมศาสดา ” ครั้นแล้วพระนางพร้อมด้วยภริยามุขอํามาตย์ทั้งหลายก็พากันสละละทิ้งสมบัติตามเสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ได้สดับพระธรรมเทศนา บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ก็พากันไปบวชเป็นภิกษุณีในสํานักภิกษุณีที่เมืองสาวัตถี และต่อมาก็ได้บรรลุพระอรหันต์ขีณาสพในพระพุทธศาสนาด้วยกันหมดทั้งสิ้น ด้วยประการฉะนี้
ในนิทานเรื่องนี้มีข้อสังเกตควรจะยกขึ้นมาวิสัชนา คือประการต้นจะเห็นว่าสตรีนั้นมีความเลื่อมใส ศรัทธาดีและมีจํานวนมากกว่าบุรุษมาตั้งแต่ครั้งดึกดําบรรพ์แล้ว เช่น ดังสตรีภริยาหัวหน้านายช่างหูก ครั้งศาสนาของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าจํานวนพันองค์ในระหว่างทางแล้วก็มีศรัทธาเลื่อมใสและกล้าอาราธนาไปรับบิณฑบาตที่หมู่บ้านของตนหมดทั้งพันองค์นั้น แล้วก็เอาเป็นภาระธุระชักจูงชาวเพื่อนบ้านหมู่ช่างหูกด้วยกันให้มาร่วมทําบุญให้ทาน และได้เป็นผู้ริเริ่มขอนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้จําพรรษาอยู่ใกล้ ๆ หมู่บ้านนั้นตลอดสามเดือน รับเป็นภาระชักชวนเพื่อนบ้านให้ช่วยกันสร้างบรรณศาลาถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าให้อาศัยอยู่จําพรรษาองค์ละหลัง ครั้นแล้วได้ชักนํามวลสตรีทอผ้าจีวร ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าพันองค์ด้วยจีวรพันผืน จีวรแต่ละผืนมีมูลค่าจํานวนพัน ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็น ความมีศรัทธาเลื่อมใสของสตรีมีกําลังแรงแก่กล้ากว่าบุรุษประการหนึ่ง ครั้นต่อมาในศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า คณะนายช่างหูกและภริยาเหล่านั้นได้ไปบังเกิดเป็นกุฎมพีอยู่ในเมืองพาราณสี ได้พากันสร้างพระวิหารใหญ่มีเรือนยอดถึงพันยอดเป็นบริวาร ครั้นถึงคราวฉลองมีงานถึง ๗ วันนั้น ภริยาหัวหน้ากุฎมพีก็มีศรัทธาพิเศษแก่กล้ากว่าคนอื่น ๆ ซึ่งคนอื่น ๆ บริจาคทรัพย์มีจํานวนเท่า ๆ กัน แต่ภริยาหัวหน้ากุฎมพีจัดแจงตบแต่งดอกอังกาบพร้อมกับผ้าสาฎกราคาตั้งพัน ซึ่งมีสีสันวรรณะเหมือนดอกอังกาบ ขึ้นไว้เป็นพิเศษ แล้วก็นําไปบูชาถวายสมเด็จพระบรมศาสดาในวาระสุดท้าย พร้อมกับทั้งตั้งปณิธานความปรารถนาไว้ว่า “ ถ้าจะไปบังเกิดชาติใดในภพไหนก็ตาม ขอให้ข้าพเจ้ามีผิวพรรณเหมือนสีดอกอังกาบ และขอให้ได้ชื่อว่า “ อโนชา ” ซึ่งแปลว่า ดอกอังกาบนั้น ครั้นต่อมาในศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ภริยาหัวหน้ากุฎมพีนั้น ก็ได้มาบังเกิดเป็นพระราชเทวีเอกอัครมเหสีของพระเจ้ามหากัปปินะ ในกรุงกุกกุฏวตีนคร เมื่อพระนางทรงทราบว่าพระรัตนตรัยได้บังเกิดขึ้นแล้วในโลกจากพวกพ่อค้า ก็ได้ทรงบูชาด้วยพระราชทรัพย์จํานวนถึงเก้าแสน ส่วนพระเจ้ามหากัปปินะะทรงบูชาเพียงสามแสนเท่านั้น นี้ก็แสดงให้เห็นว่าสตรีมีศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนาและทําบุญมากกว่าบุรุษทั้งหลาย ซึ่งปรากฏเป็นสถาบันสืบ ๆ กันมาตั้งแต่ครั้งดึกดําบรรพ์ แม้ในปัจจุบันทุกวันนี้ก็ปรากฏเป็นเช่นเดียวกันนั้น ไม่ว่าจะมีงานการกุศลทางศาสนา ณ ที่ไหนวัดใดจะเป็นงานกุศลฟังธรรมก็ดี หรืองานถือศีลกินบวชตามประเพณีพุทธศาสนาก็ดี แม้ชั้นที่สุดงานปฏิบัติธรรมเจริญพระกรรมฐานก็มีพวกสตรีเพศจํานวนมากกว่าบุรุษเพศ โดยทั่วไปข้อว่าสตรีเพศมีศรัทธาและทําบุญบารมีดีและมีจํานวนมากกว่าบุรุษเพศนั้นเป็นสถาบันที่ปรากฏมีมาตั้งแต่กาลดึกดําบรรพ์สืบๆ กันมาจนตลอดกาลปัจจุบันทุกวันนี้ ด้วยประการฉะนี้
อีกประการหนึ่ง คนที่มีปีติปราโมทย์อย่างแรงกล้าย่อมจะทําให้เคลิบเคลิ้มถึงกับลืมตัวไปได้เป็นพัก ๆ เพราะอํานาจปีติมีวรรณะ ๕ ประการ คือ ขุททกาปีติ ขณิกาปีติ โอกกันติกาปีติ อุพเพงคาปีติ และ ผรณาปีติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมแผ่สร้านไปทั่วสรรพางค์กายทั่วทุกขุมขน ทําให้บุคคลปลาบปลื้มจนลืมตัวไปได้ ซึ่งเป็นธรรมดานิยมดังนั้น ด้วยเหตุนั้น พระเจ้ามหากัปปินะะก็ดี พระนางอโนชาราชเทวีก็ดี เมื่อได้ทราบข่าวว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บังเกิดขึ้นแล้วในโลกทรงได้พระปิติมีวรรณะ ๕ นั้น จึงทรงกําหนดถ้อยคําอะไรไม่ได้ถึงสามครั้ง จนถึงครั้งที่สี่ เมื่อปีตินั้นลดกําลังลงแล้วจึงเกิดความปกติภาพ และทรงมีพระสติกําหนดเหตุการณ์ได้ การที่กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงได้พระปีติอันมีกําลังกล้าเห็นปานดังนั้น ก็เพราะเหตุที่ได้ทรงสร้างบุญาธิการอย่างมากมานานหลายร้อยชาติ บุญบารมีนั้นแก่กล้าอยู่ในพระบวรขันธสันดาน เพียงแต่ได้ทรงสดับคําว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ เท่านั้น ก็สําเร็จเป็นอารมณ์เร้าพระราชหฤทัยเกิดพระปีติปราโมทย์อย่างฉับพลันทันที เปรียบเหมือนดอกประทุมที่พ้นน้ำขึ้นมาแล้วได้กระทบแสงพระอาทิตย์ ก็แย้มบานขึ้นทันทีฉะนั้น ดังนั้นอันปีติที่เกิดแก่พระเจ้ามหากัปปินะ และพระนางอโนชาราชเทวีนั้น จึงเป็นสภาวธรรมที่มีได้เป็นได้ไม่ใช่นอกเหนือไปจากความจริงเลย แม้ผู้เจริญพระกรรมฐานในกาลทุกวันนี้ก็ได้ประสบพบเห็นกับปีติมีวรรณะ ๕ นั้น มีลักษณะดังกล่าวมาอยู่เสมอ แต่ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ทําคุณงามความดีถึงขนาดพอที่ปีติจะบังเกิดขึ้น ย่อมไม่ได้ประสบพบเห็นปีติดังกล่าวนี้ แม้ตลอดชาติที่เกิดมา และก็มักจะพาลให้เห็นผิดจากทํานองคลองธรรมไปว่าไม่เป็นความจริง เป็นการเสกสรรปั้นขึ้นด้วยความหลอกลวง เป็นทํานองพวกคนตาบอดไม่รู้จักสีและไม่เชื่อว่าจะมีสีต่างๆ ฉะนั้น
ความจริงในข้อนี้จึงเห็นตัวอย่างท่านพระมหากัปปินะเถระ เมื่อสําเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ว่าจะไปพักอยู่ ณ ที่พักกลางคืนหรือที่พักกลางวัน ก็มักจะเปล่งอุทานหลุดปากออกมาลอยๆ ด้วยอํานาจปีติว่า อโห สุขํ โอ สุขหนอ อโห สุขํ โอ สุขหนอ ดังนี้เสมอ จนเป็นเหตุให้ภิกษุทั้งหลายเกิดความสงสัยว่า เพราะท่านเคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินมา ที่กล่าวเช่นนั้นเห็นจะกล่าวเพ้อถึงสุขในราชสมบัติอันเป็นกามสุขกระมัง จึงนําความไปกราบทูลแด่สมเด็จพระบรมศาสดาให้ทรงทราบ สมเด็จพระบรมศาสดา จึงได้ทรงแสดงแก้ข้อข้องใจแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้หลาย บุตรของเรามิได้เปล่งอุทานเพ้อถึงสุขในราชสมบัติอันเป็นความสุขนั้น แต่ปีติในธรรมได้เกิดขึ้นแก่บุตรของเรา บุตรของเรานั้นเปล่งอุทานอย่างนี้ เพราะ ปรารภถึงอมตมหานิพพาน ” ครั้นแล้วได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลาย โดยพระพุทธนิพนธคาถาเป็นสุภาษิต ซึ่งมีข้อความสั้นๆ ดังนี้
บุคคลผู้ดื่มธรรม มีจิตผ่องใส เป็นบัณฑิต ย่อมอยู่เป็นสุข
และยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้าแสดงแล้ว ตลอดกาล
อธิบายว่า คําว่า ผู้ดื่มธรรม ได้แก่ผู้ที่มีปีติในธรรมได้เกิดขึ้นในใจนั่นเอง ความจริงการดื่มธรรม ไม่ใช้ดื่มด้วยถาดภาชนะอย่างหนึ่งอย่างใด เหมือนอย่างดื่มข้าวยาคูหรือดื่มเครื่องดื่มต่าง ๆ การสัมผัสโลกุตรธรรมทั้ง ๔ ด้วยนามกายหรือด้วยมรรคญาณ คือกระทําให้แจ้งชัดโดยเป็นอารมณ์ หรือการรู้แจ้งแทงตลอด อริยสัจ คือ รู้แจ้งทุกข์ ละสมุทัย เจริญมรรค ทําให้แจ้งนิโรธ ดังนี้ ชื่อว่าดื่มธรรม บุคคลผู้ปฏิบัติธรรมจนได้ดื่มธรรมโดยลักษณะดังกล่าวมานี้ นอกจากจะมีจิตบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่โดยธรรมดานิยมแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุขทุกอริยาบถ คือจะยืนเดินทั้งนอนหรือจะอยู่ ณ ที่ไหน ๆ ที่คนไม่ได้ดื่มธรรมเห็นว่าเป็นทุกข์ก็ย่อมเป็นสุขไปทั้งนั้น และท่านผู้ดื่มธรรมมีจิตผ่องใสประกอบด้วยความเป็นบัณฑิตเห็นปานนั้น ย่อมอภิรมย์ยินดีอยู่ในธรรมที่พระอริยเจ้าทั้งหลายแสดงไว้แล้วตลอดกาล คือย่อมยินดีอยู่แต่ในอารมณ์พระกรรมฐาน เช่น ชอบพิจารณาชีวิตประจําวันของคนหรือของบุคคลอื่นอยู่ในสติปัฏฐานทั้ง ๔ คือ ไม่ว่าจะกระดิกพลิกแพลงไปไหน อิริยาบถใดท่าไหนก็ชอบใช้สติตามกําหนดอิริยาบถนั้นท่านั้น และพร้อมกันนั้นก็ใช้สัมปชัญญะพิจารณาให้รู้แจ้งว่าอิริยาบถนี้ท่านี้เป็นแต่เพียงสักว่ากายคือรูปธรรมเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ของเราของเขาหรือของใคร ๆ ทั้งสิ้น หากเป็นแต่เพียงสมมติขึ้นเรียกกันตามโลกโวหาร เพื่อใช้เรียกขานกันเท่านั้น โดยนัยนี้เมื่อทุกข์หรือสุขเกิดขึ้น ก็ใช้สติกําหนดใช้สัมปชัญญะพิจารณาให้รู้แจ้งว่านั้นเป็นเพียงสักว่าเวทนา และมีจิตโลภโกรธหลงหรือไม่โลภไม่โกรธไม่หลงเป็นต้น ก็กําหนดพิจารณาให้รู้แจ้งว่านั้นสักว่าจิตโลภโกรธหลง หรือจิตไม่โลภไม่โกรธไม่หลง และเมื่อพิจารณาธรรม ๕ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็กําหนดพิจารณาให้รู้แจ้งว่านั้นเป็นสักแต่ธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ของเราของเขา หรือของใคร ๆ ดังนี้ เป็นต้น
บุคคลผู้ดื่มธรรมคือมีปีติในธรรม ซึ่งเป็นบัณฑิตนั้นย่อมเพลิดเพลินยินดีพิจารณาตนหรือบุคคลอื่น อยู่แต่ในแง่ธรรมะดังวิสัชนามาด้วยสังเขปนี้ คือไม่ยินดีดูตนหรือบุคคลอื่นในแง่โลกสมบัติ เป็นต้นว่า คนนั้นสวย คนนี้ไม่สวย หรือหน้าตาแขนขาสวยไม่สวย นั่นนี้ เป็นเราเป็นเขา เป็นของเราของเขา ซึ่งเป็นการมองดูชีวิตประจําวันด้วยความลุ่มหลงมัวเมา ไม่รู้เท่าทันตามความเป็นจริงของความจริง เพียงแต่รู้ความจริง ของสิ่งที่ไม่จริงอย่างผิวเผิน เพราะฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงแสดงว่าผู้ดื่มธรรมมีจิตผ่องใสเป็นบัณฑิต ย่อมยินดีในธรรมตลอดกาล ด้วยประการฉะนี้
แสดงพระธรรมเทศนาในเรื่องพระมหากัปปินะเถระ ก็นับว่าพอเป็นเครื่องโสดสรงองค์ศรัทธา และสมควรแก่กาลเวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
( ๙ มิ.ย. ๒๕๐๕ เวลา ๑๔.๓๐ น. )
เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:พระมหากัปปินะเถระ กัณฑ์ที่ ๑
พระธรรมบทเทศนา พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา (๔)เรื่องพระมหากัปปินะเถระ [๖๓] กัณฑ์ที่ ๑ ----------------------------------------- นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโตติ
บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนาเรื่องพระมหากัปปินะเถระอันมีมาในคัมภีร์อรรถกถาพระธรรมบท ขุททกนิกาย ปัณฑิตวรรคแห่งสุตตันตปิฎก นับเป็นลําดับเรื่องที่ ๖๓ เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธี ส่วนธรรมสวนมัย สืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า -
สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต - สมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จประทับพระอิริยาบถ อยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลาย โดยทรงปรารภพระมหากัปปินะเถระให้เป็นอุปบัติเหตุ มีเรื่องเล่าต่อๆ มาโดยลําดับดังนี้
อตีเต กิรายสมา มหากปฺปิโน - ดังได้ยินมา ท่านผู้มีอายุมหากัปปินะนั้น ในอดีตกาลปางหลัง เคยได้สร้างบุญญาภินิหารไว้ในศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปทุมุตตระ เมื่อท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสังสารวัฏ ครั้งหนึ่งได้บังเกิดเป็นนายช่างหูกชั้นหัวหน้า ในบ้านนายช่างหูกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่สู้จะห่างไกลจากเมืองพาราณสี ตทา กาเล ในสมัยกาลครั้งนั้นได้มีพระปัจเจกพุทธเจ้า จํานวน ๑,๐๐๐ องค์ ตามปกติในปีหนึ่งท่านไปพักอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ๘ เดือน มาพักอาศัยอยู่ตามชนบท ๔ เดือนภายในฤดูฝน ในวาระครั้งหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ลงจากป่าหิมพานต์จะมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งไม่ห่างไกลจากเมืองพาราณสี จึงจัดส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า จํานวน ๘ องค์ ไปสู่พระราชสํานักเพื่อทูลขอพระบรมราชูปถัมภ์ว่า “ ท่านทั้งหลายจงทูลขอหัตถกรรมต่อพระราชา เพื่อทรงพระมหากรุณาโปรดให้สร้างเสนาสนะที่อยู่ที่อาศัย ” ก็บังเอิญครั้งนั้น เป็นเวลามีงานพระราชพิธีวัปปมงคลแรกนาขวัญพอดี ดังนั้น พระราชาเมื่อได้ทรงทราบว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ามาเฝ้าจึงเสด็จออกมาทรงปฏิสันถาร แล้วตรัสถามถึงเหตุที่มาเฝ้า ครั้นทรงทราบแล้วจึงมีพระราชดํารัสขอผัดว่า “ พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย ! วันนี้ยังไม่มีโอกาส พรุ่งนี้เป็นวันพระราชพิธีวัปปมงคลแรกนาขวัญของหม่อมฉัน วันที่สามจึงจักได้สร้างถวาย ” ครั้งแล้วก็มิได้นิมมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าแต่อย่างใด เสด็จกลับเข้าไปเลย
ปวฺเจกพุทฺธ ปน - ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายตกลงใจว่า พวกเราจักไปอาศัยบ้านแห่งอื่นแล้วก็พากันหลีกจากที่นั้นไป ก็พอดีในขณะนั้น ภริยาของหัวหน้านายช่างหูกมีกรณียกิจบางอย่างไปเมืองพาราณสี จึงได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ไหว้แล้วเรียนถามว่า “ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย ไฉนพระผู้เป็นเจ้าจึงพากันมาผิดเวลาไปเจ้าข้า ” นางเป็นสุภาพสตรีที่มีศรัทธาถึงพร้อมด้วยปัญญา ครั้นได้ทราบพฤติการณ์ดังนั้น จําเดิมตั้งแต่แรกมาแล้ว จึงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าว่า “ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายรับบิณฑบาตของอิฉันในวันพรุ่งนี้เจ้าข้า ” พระปัจเจกพุทธเจ้าพูดว่า " น้องหญิง พวกเรามากด้วยกัน ” ภริยาหัวหน้านายช่างหูกเรียนถามว่า “ จํานวนเท่าไรเจ้าข้า ” พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า “ จํานวนพันหนึ่งน้องหญิง ” ภริยาหัวหน้านายช่างหูกเรียนนิมนต์ยืนยันว่า " ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พวกอิฉันที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็มีจํานวนพันหนึ่ง แต่ละคนจักรับถวายบิณฑบาตแด่พระผู้เป็นเจ้าแต่ละองค์ ขอนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายรับบิณฑบาตเจ้าข้า และอิฉันจักให้สร้างที่อยู่ถวายพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายด้วยเจ้าข้า ” พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายตกลงรับนิมนต์สนองกุศลเจตนาของภริยาหัวหน้านายช่างหูก
สา คามํ ปวิสิตฺวา อุคฺโฆเสสิ - ฝ่ายภริยาหัวหน้านายช่างหูกกลับมาถึงบ้านแล้วก็โฆษณาประกาศแก่เพื่อนบ้านทั้งหลายว่า “ อิฉันได้ไปพบพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายจํานวนพันองค์ และได้นิมนต์ท่านรับบิณฑบาตด้วย เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายช่วยกันจัดอาสนะที่นั่งและตบแต่งอาหารบิณฑบาตถวายพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ” ครั้นแล้วได้ให้สร้างปะรําขึ้นที่กลางหมู่บ้าน แต่งตั้งปูลาดอาสนะไว้อย่างเรียบร้อย รุ่งขึ้นนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายนั่งอาสนะแล้วพากันอังคาสเลี้ยงดูด้วยโภชนะอาหารประณีตบรรจง ครั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ภริยาหัวหน้านายช่างหูก ได้พาพวกสตรีในหมู่บ้านนั้นทั้งหมดไปไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าพร้อมกัน แล้วขอรับคําปฏิญญาเพื่อขอให้ท่านอยู่จําพรรษาตลอดไตรมาสสามเดือน แล้วโฆษณาประกาศไปให้ทราบทั่วหมู่บ้านอีกว่า “ อมฺมตาตา แม่และพ่อมหาจำเริญทั้งหลาย ผู้ชายเรือนละคนจงเตรียมเอาเครื่องมือ เช่นมีดเป็นต้น เข้าป่าไปบรรทุกเอาทัพพะสัมภาระต่าง ๆ มาสร้างที่อยู่อาศัยถวายพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ” ฝ่ายชาวบ้านก็เอื้อเฟื้อเชื่อถือในข้อแนะของภริยาหัวหน้าช่างหูกนั้น คนหนึ่งๆ ก็รับสร้างหลังหนึ่งๆ สร้างบรรณศาลาขึ้นทั้งหมดจํานวนพันหลังพร้อมทั้งที่สําหรับพักผ่อนหย่อนใจในเวลากลางวันและกลางคืนด้วย แล้วต่างคนก็ต่างรับอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า เข้าอาศัยจําพรรษาในบรรณศาลาของตนๆ ต่างคนต่างก็ตั้งใจด้วยศรัทธาว่า จักอุปัฏฐากบํารุงด้วยความเคารพเป็นอันดี ครั้นเวลาเข้าพรรษาแล้ว ภริยาหัวหน้าช่างหูกชักชวนว่า “ ท่านทั้งหลายจงตระเตรียมผ้าสาฎกสำหรับทำจีวร ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายที่อยู่จําพรรษาในบรรณศาลาของตน ๆ ” แล้วก็ได้พากันถวายจีวรซึ่งมีมูลค่าผืนละพันแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ละหนึ่งผืน พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายครั้นออกพรรษาทําการอนุโมทนาแล้วก็อําลาหลีกไปยังป่าหิมพานต์ ฝ่ายชาวนายช่างหูกทั้งหลายเพราะพากันสร้างกุศลบุญกรรมครั้งนี้ ครั้นจุติตายจากชาตินั้นแล้วก็พากันไปบังเกิดเป็นคณะเทวบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสพิภพ ด้วยประการฉะนี้
เต ตตฺถ ทิพฺพสมฺปตฺตึ อนุภวิตฺวา - คณะเทพบุตรทั้งหลายเหล่านั้น พากันเสวยรมย์ชมทิพยสมบัติอยู่ ณ เมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงสพิภพนั้นตลอดกาลนาน ครั้งต่อมาในกาลพุทธศาสนาของสมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ลงมาบังเกิดในตระกูลกุฎมพีในเมืองพาราณสี หัวหน้านายช่างหูกบังเกิดเป็นบุตรของหัวหน้ากุฎมพี แม้ภริยาของหัวหน้าช่างหูกนั้น ก็บังเกิดเป็นธิดาของหัวหน้ากุฎมพีเหมือนกัน บรรดาธิดาแห่งกุฎมพีทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อเจริญวัยใหญ่ขึ้นเป็นสาวแล้วถึงคราวจะมีเหย้าเรือน ต่างก็ได้สมรสกับบรรดาบุตรของกุฎมพีด้วยกันหมดทั้งสิ้น ฉะนี้แล.
อเถกทิวสํ - อยู่มาวันหนึ่ง เขามีการโฆษณาประกาศการฟังพระธรรมเทศนาขึ้นในวัด กุฎมพีเหล่านั้นทุกคน ครั้นได้ทราบว่า สมเด็จพระบรมศาสดาจะทรงแสดงพระธรรมเทศนา ดังนั้น จึงพร้อมด้วยภริยาทั้งหลายพากันไปวัด ด้วยตั้งใจจักฟังพระธรรมเทศนา ก็ในขณะที่กุฎมพีสามีภริยาเหล่านั้นไปถึงกลางวัด พอดีฝนได้ตกเทลงมา กุฎมพีเหล่าใดที่มีภิกษุสามเณรผู้เข้าอาศัยตระกูลหรือผู้เป็นญาติอยู่ ก็พากันเข้าไปอาศัยบริเวณของภิกษุสามเณรเหล่านั้น ส่วนที่ไม่มีภิกษุสามเณรเช่นนั้น เมื่อไม่สามารถที่จะเข้าไปอาศัย ณ ที่ไหนๆ ก็จําต้องยืนตากฝนอยู่ที่กลางวัดนั่นแล ขณะนั้นหัวหน้ากุฎมพีพูดกับกุฎมพีทั้งหลายเหล่านั้นว่า “ พวกท่านทั้งหลาย สังเกตเห็นอาการอันประหลาดของพวกเราไหม ? ขึ้นชื่อว่ากุลบุตรแล้วควรจะละอายแก่ใจด้วยเหตุมีประมาณเพียงเท่านี้ ” พวกกุฏมพีบริวารเรียนถามว่า “ เราจะทําอย่างไรกันเล่านาย ” กุฎมพีหัวหน้าพูดชักชวนว่า " พวกเราถึงอาการอันประหลาดนั้น เพราะไม่มีสถานที่แห่งภิกษุสามเณรผู้คุ้นเคย ดังนั้นเราหมดทุกคนควรรวมทรัพย์กันสร้างบริเวณถวายวัด ” กุฎมพีบริวารกล่าวสนับสนุนว่าดีแล้วนาย ? ครั้นแล้วหัวหน้ากุฎมพีได้บริจาคทรัพย์พันหนึ่ง กุฎมพีบริวารบริจาคคนละห้าร้อย ฝ่ายสตรีบริจาคคนละ ๒๕๐ พวกกุฏมพีทั้งหลายครั้นรวมทรัพย์ดังนั้นแล้ว พากันปรารถนาจะสร้างบริเวณขนาดใหญ่มีเรือนยอดพันหลังเป็นบริวาร เพื่อถวายเป็นที่ประทับอยู่ของสมเด็จพระบรมศาสดา ต่อมาเมื่อทุนก่อสร้างไม่เพียงพอเพราะการสร้างนั้นเป็นงานใหญ่ จึงได้บริจาคทรัพย์กันอีกคนละครึ่งจากทุนที่บริจาคแล้วครั้งก่อน ครั้นการก่อสร้างบริเวณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงคราวทํางานฉลอง กุฎมพีเหล่านั้นได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประมุข เป็นงานใหญ่ตลอด ๗ วัน ได้ถวายจีวรแก่ภิกษุสงฆ์ ๒ หมื่นองค์
เชฐกุฎมฺพิกสฺส ปน ภริยา - ส่วนภริยาของหัวหน้ากุฎมพีมิได้บริจาคทรัพย์เท่ากับใครทั้งหมด ได้กระทําตามปัญญาของตนเอง ตั้งใจว่าจักบูชาสมเด็จพระบรมศาสดาให้เป็นพิเศษ แล้วได้เตรียมถือเอากระเช้าดอกอังกาบพร้อมกับผ้าสาฎกมีสีเหมือนดอกอังกาบราคาพันหนึ่งไปด้วย ครั้นถึงเวลาจะอนุโมทนา นางได้เอาดอกอังกาบบูชาสมเด็จพระบรมศาสดาแล้วเอาผ้าสาฎกนั้นวางทอดไว้ใกล้ๆ กับพระพุทธบาทยุคล แล้วตั้งความปรารถนาเฉพาะต่อพระพักตร์ของสมเด็จพระบรมศาสดาว่า “ ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์ ขอให้หม่อมฉันจงมีผิวพรรณเหมือนสีดอกอังกาบในภพที่ไปบังเกิดนั้น ๆ เถิด และขอให้หม่อมฉัน จงมีนามว่า อโนชา นั่นแล ( อโนชา แปลว่า ดอกอังกาบ – ขอให้หม่อมฉันจงมีนามว่าอังกาบนั่นแล ) สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงอนุโมทนาว่า “ ขอความปรารถนาของท่านจงสําเร็จสมประสงค์ ” เต สพฺเพปิ กุฎมพีเหล่านั้น เมื่อดำรงชีวิตอยู่ในอัตภาพนั้นจนสิ้นอายุขัยแล้ว ก็ได้พร้อมกันไปบังเกิดในเทวโลกสถานสิ้นทั้งมวล ครั้นมาในกาลพุทธศาสนาแห่งสมเด็จพระโคดมบรมศาสดานี้ ได้พากันจุติจากเทวโลกมาบังเกิดในมนุษย์โลกนี้ หัวหน้ากุฎมพีได้บังเกิดในราชตระกูลในกุกกุฏวตีนคร เมื่อทรงพระเจริญวัยก็ได้ทรงเสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้ามหากัปปินะราชา กุฎมพีที่เป็นบริวารก็ได้มาบังเกิดในตระกูลอํามาตย์ข้าราชการทั้งหลาย ภริยาของหัวหน้ากุฎมพีได้มาบังเกิดในราชตระกูลในสาคลนคร แว่นแค้วนมัททราษฎร พระนางมีพระฉวีวรรณเหมือนสีดอกอังกาบและได้พระนามว่า อโนชา ( อังกาบ ) เหมือนดังที่ทรงปรารถนาไว้นั่นเทียว ครั้นพระนางทรงพระเจริญวัย ก็ได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้ามหากัปปินะ มีพระนามว่า พระนางเจ้าอโนชาเทวี ฝ่ายสตรีที่เหลือก็ได้มาบังเกิดในตระกูลแห่งอํามาตย์ข้าราชการทั้งหลาย เมื่อเจริญวัยต่างก็ได้สมรสกับบุตรแห่งอํามาตย์ข้าราชการทั้งหลายเช่นเดียวกัน บรรดาอํามาตย์ข้าราชการทั้งหมดนั้น ต่างก็พากันได้เสวยรมย์ชมสมบัติเช่นเดียวกับพระเจ้ามหากัปปินะราชา กล่าวคือ ขณะใดพระราชาทรงเครื่องอาภรณ์พรรณเสด็จขึ้นช้างพระที่นั่งดําเนินไป ขณะนั้น แม้พวกอํามาตย์เหล่านั้น ก็พากันขึ้นช้างเที่ยวไปเหมือนอย่างนั้น เมื่อพระราชาเสด็จพระราชดําเนินด้วยม้าหรือด้วยราชรถ แม้พวกอํามาตย์เหล่านั้น ก็ขึ้นม้าหรือขึ้นรถเที่ยวไปเหมือนอย่างนั้น พระราชาและอํามาตย์ทั้งหลายได้เสวยรมย์ชมสมบัติร่วมกันเช่นนั้น ก็ด้วยอานุภาพบุญบารมีที่ได้ร่วมกันสร้างไว้แต่ชาติก่อน ด้วยประการฉะนี้
รญฺโญ ปน พโล - อนึ่งพระเจ้ามหากัปปินะนั้นทรงมีม้าวิเศษอยู่ ๕ ม้า ซึ่งได้ชื่อต่างๆ กัน คือ ม้าพละ ๑ ม้าพลวาหนะ ๑ ม้าปุปผะ๑ ม้าบุปผวาหนะ ๑ และม้าสุปัตตะ ๑ บรรดาม้าวิเสส ๕ ม้านั้น ม้าสุปัตตะพระเจ้ามหากัปปินะทรงเอง ส่วนอีก ๔ ม้าพระราชทานให้พวกม้าใช้ สําหรับไปนําข่าวสาส์นมาตามพระราชประสงค์ พระเจ้ามหากัปปินะทรงพระราชทานให้พวกม้าใช้รับประทานอาหารแต่เช้าแล้วทรงส่งไปเสาะหาข่าวว่า “ พวกเธอจงไป จงเที่ยวไปให้ไกลถึงสองโยชน์หรือสามโยชน์ รู้ว่าพระพุทธเจ้า หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์เกิดขึ้นแล้ว จึงนําข่าวแห่งความสุขนั้นมาบอกแก่เรา ” พวกม้าใช้เหล่านั้นออกจากประตูเมืองทั้ง ๔ เที่ยวเสาะหาไปตลอดระยะทางถึงสองโยชน์ ไม่ได้ข่าวสาส์นแล้วก็กลับมา
อเถกทิวสํ ราชา - อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ามหากัปปินะ เสด็จขึ้นทรงม้าชื่อสุปัตตะ มีหมู่มุขอํามาตย์มนตรีพันหนึ่งเป็นพระราชบริพาร เสด็จไปสู่พระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นพวกพ่อค้า ประมาณ ๕๐๐ คน ท่าทางเหน็ดเหนื่อยกําลังจะเข้าไปสู่พระนคร ทรงพระราชดําริว่า “ พวกพ่อค้าเหล่านี้ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยมาในทางไกล คงจักได้ฟังข่าวดีๆ สักอย่างหนึ่งจากพวกพ่อค้าเหล่านี้เป็นแน่ ” ครั้นแล้วจึงทรงรับสั่งให้พวกพ่อค้าเหล่านั้นเข้ามาเฝ้าแล้วตรัสถามว่า “ พวกเธอมาจากไหน ” พวกพ่อค้ากราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ จากนี้ไปประมาณ ๒๐๐๐ โยชน์ มีเมืองๆ หนึ่ง ชื่อเมืองสาวัตถี พวกข้าพระพุทธเจ้ามาจากเมืองนั้น พระเจ้าข้า ” พระเจ้ามหากัปปินะ ตรัสถามว่า “ ในเมืองของพวกเธอ ได้มีข่าวอะไรๆ เกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ” พวกพ่อค้ากราบทูลว่า “ ข้าแต่สมมติเทพ ! ข่าวอะไรๆ อย่างอื่นนั้นไม่มี แต่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบังเกิดขึ้นแล้ว ” ในทันใดนั้นพระเจ้ามหากัปปินะทรงมีพระสรีระซาบซ่านไปด้วยปีติทั้ง ๕ จนไม่ทรงสามารถที่จะกําหนดคําอะไรๆ ได้ พอสักครู่หนึ่ง จึงตรัสถามว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย พวกเธอพูดว่าอย่างไร ” พวกพ่อค้ากราบทูลซ้ำอีกว่า “ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าข้า ” แม้ในครั้งที่สอง และในครั้งที่สาม พระเจ้ามหากัปปินะ ก็ทรงกําหนดคําอะไรไม่ได้เหมือนอย่างนั้น ครั้นถึงครั้งที่สี่ตรัสถามอีกว่า “ พวกเธอพูดอะไร พ่อมหาจําเริญ ” เมื่อพวกพ่อค้ากราบทูลอีกว่า “ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าข้า ” พระเจ้ามหากัปปินะตรัสว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย ฉันให้รางวัลแสนหนึ่งแก่พวกเธอ ” แล้วตรัสถามต่ออีกว่า “ ข่าวอะไรอย่างอื่นมีอีกไหม พ่อมหาจําเริญ ” พวกพ่อค้ากราบทูลตอบว่า “ มีพระเจ้าข้า ! พระธรรมบังเกิดขึ้นแล้ว ” พระเจ้ามหากัปปินะได้ทรงสดับคําว่าพระธรรมนั้นแล้ว ก็ทรงกําหนดคําอะไรไม่ได้ ทรงให้เวลาผ่านไปถึงสามวาระเหมือนครั้งก่อน ครั้นถึงวาระที่สี่ เมื่อพวกพ่อค้ากราบทูลว่าพระธรรม จึงได้พระสติตรัสว่า " แม้ในเพราะพระธรรมนี้ฉันให้รางวัลพวกเธอแสนหนึ่ง ” แล้วตรัสถามว่า “ ข่าวอะไรอย่างอื่นมีอีกไหม พ่อมหาจําเริญ ” พวกพ่อค้ากราบทูลว่า “ มีพระเจ้าข้า พระสงฆรัตนะ บังเกิดขึ้นแล้ว ” พระเจ้ามหากัปปินะ ได้ทรงสดับคําว่า พระสงฆรัตนะนั้นแล้ว ก็ทรงกําหนดคําอะไรไม่ได้ ทรงให้เวลาผ่านไปถึงสามวาระเหมือนครั้งก่อน ๆ ครั้นถึงวาระที่สี่ เมื่อพ่อค้ากราบทูลว่า พระสงฆ์จึงได้พระสติตรัสว่า “ แม้ในเพราะพระสงฆ์นี้ฉันให้รางวัลแก่พวกเธอแสนหนึ่ง ” ครั้นแล้วทรงทอดพระเนตรไปยังหมู่อํามาตย์มนตรีพันหนึ่งตรัสถามว่า “ พ่อมหาจําเริญ พวกท่านจักทําอย่างไร ” หมู่มุขอํามาตย์กราบทูลย้อนถามว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ! พระองค์จักทรงกระทําอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า ” พระเจ้ามหากัปปินะตรัสตอบหมู่อํามาตย์ว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย ฉันได้ยินว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้ว พระธรรมบังเกิดแล้ว พระสงฆ์บังเกิดแล้ว เพราะฉะนั้นฉันจะไม่กลับไปพระนครอีก ขออุทิศชีวิตต่อสมเด็จพระบรมศาสดา จักไปบวชอยู่ในสํานักของพระพุทธองค์ ” หมู่มุขอํามาตย์กราบทูลว่า “ ข้าแต่สมมติเทพ ! แม้พวกข้าพระพุทธเจ้าก็จักบวชกับด้วยพระองค์ ” พระเจ้ามหากัปปินะทรงให้จารึกพระอักษรลงในแผ่นพระสุพรรณบัฏ แล้วมีพระราชดําตรัสสั่งไปกับพวกพ่อค้าว่า “ พระเทวีอโนชา คงจักประทานรางวัลให้แก่พวกเธออีกไม่ต่ำกว่าสามแสน แต่ว่าพวกเธอจึงทูลพระเทวีนั้นอย่างนี้ “ ได้ยินว่าพระราชาทรงเวนพระอิสสริยสมบัติถวายแก่พระองค์ ขอพระองค์จงทรงเสวยพระราชสมบัติตามพระราชประสงค์ ก็แหละถ้าพระเทวีตรัสถามพวกเธอว่า พระราชาเสด็จไปไหน จึงกราบทูลพระนางว่า พระราชารับสั่งว่าจักทรงผนวชอุทิศพระบรมศาสดาแล้วก็เสด็จไป ” ฝ่ายมุขอํามาตย์ทั้งหลายก็ส่งฝากสาส์นไปถึงภริยาของตน ๆ เหมือนอย่างนั้น พระเจ้ามหากัปปินะทรงส่งพวกพ่อค้าไปแล้ว มีมุขอํามาตย์พันหนึ่งแวดล้อมเสด็จออกเดินทางไปในขณะนั้นนั่นแล
สตฺถาปิ ตํ ทิวสํ ปจฺจูสกาเล - ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดา วันนั้นได้ทรงตรวจพระญาณดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้ามหากัปปินะะกับทั้งพระราชบริพาร ทรงทราบว่า “ พระเจ้ามหากัปปินะนี้ได้ทรงสดับจากสํานักของพ่อค้าว่ารัตนะทั้งสามบังเกิดขึ้นแล้ว ทรงบูชาคําพูดของพ่อค้าเหล่านั้นด้วยพระราชทรัพย์สามแสนแล้ว ทรงสละราชสมบัติมีหมู่มุขอํามาตย์พันหนึ่งเป็นราชบริพาร มีพระราชประสงค์จะทรงผนวชอุทิศต่อเรา แล้วจักเสด็จพระราชดําเนินออกมาในวันพรุ่งนี้ พระเจ้ามหากัปปินะนั้นกับทั้งราชบริพาร จักบรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ เราจักกระทําการไปต้อนรับพระเจ้ามหากัปปินะนั้น ” ครั้นแล้วในวันรุ่งขึ้นพระองค์เองก็ทรงบาตรและจีวรเสด็จไปต้อนรับถึงระยะทาง ๒๐๐๐ โยชน์เป็นดุจพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จไปต้อนรับนายอําเภอชั้นเล็กๆ ฉะนั้น แล้วทรงประทับนั่งเปล่งพระรัศมี อันมีวรรณะ ๖ ประการอยู่ ณ โคนต้นนิโครธริมฝั่งแม่น้ำจันทภาคานั้น นั่นแล.
ราชาปิ อาคจฺฉนฺโต - ฝ่ายพระเจ้ามหากัปปินะ ครั้นเสด็จมาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งจึงตรัสถามว่า “ นี้ชื่อแม่น้ำอะไร ” มุขอํามาตย์กราบทูลว่า “ ชื่อแม่น้ำอปรัจฉา พระเจ้าข้า ” พระเจ้ามหากัปปินะ ตรัสถามซักว่า “ แม่น้ำนี้ประมาณเท่าไร พ่อมหาจําเริญ ” มุขอํามาตย์กราบทูลว่า “ ลึกหนึ่งคาวุต กว้างสองคาวุต พระเจ้าข้า ” พระเจ้ามหากัปปินะตรัสถามว่า “ ที่แม่น้ํานั้นมีเรือหรือแพไหมเล่า ? ” มุขอํามาตย์กราบทูลว่า “ ไม่มีพระเจ้าข้า ” พระเจ้ามหากัปปินะทรงรําพึงถึงพระคุณของพระรัตนะทั้งสามพร้อมทั้งทรงอธิษฐานว่า “ เมื่อเราหาเรือเป็นต้นอยู่นี้ ชาติย่อมนําไปสู่ชรา ชราย่อมนําไปสู่มรณะ เราเป็นผู้หมดความสงสัย อุทิศเฉพาะต่อพระรัตนะทั้งสาม ออกเดินทางมาแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนะทั้งสามของข้าพเจ้านั้น ขอน้ำนี้จงอย่าได้ปรากฏเป็นเหมือนน้ำ " เมื่อทรงระลึกถึงพุทธานุสสติอยู่ว่า “ อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทโธ ” ดังนี้เป็นต้น พระองค์พร้อมทั้งพระราชบริพารก็เสด็จเดินไปบนผิวน้ำด้วยม้าพันหนึ่ง ม้าสินธพทั้งหลายวิ่งไปบนผิวน้ำดุจว่าวิ่งไปบนหลังแผ่นหิน เปียกแต่เพียงปลายกีบเท่านั้น พระเจ้ามหากัปปินะ ครั้นเสด็จข้ามแม่น้ำอปรัจฉานที่นั้นแล้ว เสด็จต่อไปข้างหน้าก็ได้ทรงเห็นแม่น้ำอื่นอีกจึงตรัสถามว่า “ นี้ แม่น้ำอะไร ” มุขอํามาตย์กราบทูลว่า “ แม่น้ำนีลวาหานที พระเจ้าข้า ” ตรัสซักถามอีกว่า “ แม่น้ำนั้น ประมาณเท่าไร ” มุขอํามาตย์กราบทูลว่า “ ทั้งลึกและกว้างประมาณโยชน์ครึ่งเท่ากัน พระเจ้าข้า ” คําอื่น ๆ เหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็พระเจ้ามหากัปปินะนั้นครั้นทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำดังนั้นแล้ว ก็ทรงระลึกถึงธัมมานุสสติว่า “ สวากขาโต ภควตา ธมฺโม ” เป็นต้นแล้วก็เสด็จวิ่งม้าไปได้ ครั้นเสด็จข้ามแม่น้ำนีลวาหานทีนั้นไปแล้วก็ได้ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำอื่นอีก ตรัสถามว่า “ นี้แม่น้ำอะไร ” มุขอํามาตย์กราบทูลว่า “ แม่น้ำจันทภาคานทีพระเจ้าข้า ” ตรัสซักถามต่อว่า “ แม่น้ำนั้นประมาณเท่าไร ” มุขอํามาตย์กราบทูลว่า “ ทั้งลึกและกว้างประมาณโยชน์หนึ่งพระเจ้าข้า ” คําอื่น ๆ เหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ส่วนพระเจ้ามหากัปปินะครั้นทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำจันทภาคานทีนั้นแล้ว ก็ทรงระลึกถึงสังฆานุสสติว่า “ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ ” เป็นต้นแล้วก็เสด็จวิ่งม้าข้ามไปได้ ก็แหละครั้นเสด็จเลยแม่น้ำจันทภาคานทีนั้นไปก็ได้ ทอดพระเนตรเห็นพระรัศมีอันมีวรรณ ๖ ประการ ซึ่งพุ่งออกจากพระสรีระกายของสมเด็จพระบรมศาสดา ซึ่งทําให้ต้นนิโครธทั้งกิ่งใบและคาคบกลายเป็นดุจทองคํา พระเจ้ามหากัปปินะทรงพระราชดําริว่า “ นี้จะว่า เป็นแสงพระจันทร์ก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นแสงพระอาทิตย์ก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นรัศมีของเทวดา มาร พรหม นาค ครุฑอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ใช่ เพราะเรามาทั้งนี้ด้วยอุทิศชีวิตเฉพาะต่อสมเด็จพระบรมศาสดา พระมหาโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าจักทรงทอดพระเนตรเห็นเราเป็นแน่แท้ ” ครั้นแล้วได้เสด็จลงจากหลังม้าในทันใดนั้น น้อมพระองค์ลงพลางเสด็จพระราชดําเนินเข้าไปหาสมเด็จพระบรมศาสดาตามสายแสงแห่งพระรัศมี เสด็จเข้าไปภายในแห่งพระพุทธรัศมี ดูเป็นดุจว่าดําลงไปในรสแห่งมโนศิลา ถวายบังคมสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วพร้อมทั้งหมู่มุขอํามาตย์พันหนึ่ง ประทับนั่งอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้
สตฺถา ตสฺส อนุปุพฺพีกถํ กเถสิ - ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดา ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาโปรดพระเจ้ามหากัปปินะราชา ในเวลาจบพระธรรมเทศนาพระเจ้ามหากัปปินะกับทั้งราชบริพาร ก็ได้ดํารงอยู่โสดาปัตติผล ในทันใดนั้น ก็พากันลุกขึ้นกราบทูลขอบรรพชาต่อสมเด็จพระบรมศาสดาด้วยกันทั้งหมดทุกคน สมเด็จพระบรมศาสดาทรงใคร่ครวญดูว่า “ บาตรและจีวรอันสําเร็จด้วยฤทธิ์ จักลอยมาแก่กุลบุตรเหล่านี้หรือประการใด ” ทรงทราบว่า “ กุลบุตรเหล่านี้เคยได้ถวายจีวรพันผืนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าจํานวนพันองค์ และในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้ถวายจีวรสองหมื่นแก่ภิกษุจํานวนสองหมื่นรูป ดังนั้น การลอยมาแห่งบาตรและจีวรอันสําเร็จด้วยฤทธิ์เพื่อกุลบุตรเหล่านี้จึงไม่ต้องสงสัย ” ครั้นแล้วก็ทรงเหยียดออกซึ่งพระหัตถ์เบื้องขวาพร้อมกับมีพระพุทธดํารัสตรัสประกาศว่า “ เอถ ภิกฺขโว จรถ พฺรหมฺจริยํ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาย ” “เธอทั้งหลายจงมาเป็นภิกษุเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทําที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด ” พระเจ้ามหากัปปินะและมุขอํามาตย์ราชบริพารเหล่านั้น เป็นผู้ทรงบริขาร ๘ ของบรรพชิต ปรากฏเป็นดุจว่าพระเถระมีพรรษา ๖๐ ในทันใดนั้น นั่นเทียว ครั้นแล้วก็เหาะขึ้นสู่อากาศเวหาส์แล้วกลับลงมาถวายบังคมสมเด็จพระบรมศาสดาพากันนั่งเฝ้าแหนอยู่แล้ว ด้วยประการฉะนี้.
แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องพระมหากัปปินะเถระมาก็นับว่าพอสมควรแก่กาลเวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
( ๘ มิ.ย. ๒๕๐๕ เวลา ๑๖.๐๐ น. ) เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:พระฉันนเถระ
พระธรรมบทเทศนา พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา (๓) เรื่องพระฉันนเถระ [๖๒] ---------------------------------------- มโน ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส น ภเช ปาปเก มิตฺเต น ภเช ปุริสาธเม ภเชถ มิตฺเต กลฺยาเณ ภเชถ ปุริสุตฺตเมติ
บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนาเรื่องพระฉันนเถระอันมีมาในคัมภีร์อรรถกถาพระธรรมบท ขุททกนิกาย ปัณฑิตวรรค แห่งสุดตันปิฎก นับเป็นลําดับเรื่องที่ ๖๒ เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤษี ส่วนธรรมสวนมัยสืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า
สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต - สมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จประทับพระอิริยาบถอยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนา โดยทรงปรารภพระฉันนเถระให้เป็นอุปบัติเหตุ ซึ่งมีเรื่องเล่าโดยย่อดังต่อไปนี้ -
โส กรายสฺมา - ดังได้ยินมาว่า ท่านผู้มีอายุฉันนะภิกษุนั้น ครั้งบวชในพระพุทธศาสนา แล้วมิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้ใกล้ชิดกับสมเด็จพระบรมศาสดาเหมือนอย่างเมื่อเป็นคฤหัสถ์ เป็นเหตุให้เกิดความโทมนัสน้อยเนื้อต่ำใจ จึงบริภาษด่าว่าท่านพระอัครสาวกทั้งสองโดยลําเลิกความเก่าขึ้นมาว่า “ เราเป็นผู้ตามเสด็จพระลูกเจ้าของเราทั้งหลายออกมหาภิเนกษกรมณ์แต่ผู้เดียว ( คือตามเด็จออกบวช ) ในเวลานั้น ไม่เห็นมีใครอื่นแม้สักคนเดียว แต่เดี๋ยวนี้สิ ท่านเหล่านี้เที่ยวกล่าวอวดอ้างว่า ฉันชื่อสารีบุตร ฉันชื่อโมคคัลลานะ เราเป็นพระอัครสาวก ” ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดาครั้นได้ทรงทราบพฤติการณ์ของพระฉันนเถระดังนั้นจากสํานักของภิกษุทั้งหลาย จึงทรงรับสั่งให้หาพระฉันนเถระมาเฝ้า แล้วทรงประทานพระพุทธโอวาทสั่งสอน พระฉันนเถระนั้น สงบเงียบเสียงลงได้ก็ชั่วแต่ขณะที่อยู่ต่อพระพักตร์พระพุทธองค์เท่านั้นครั้นออกไปแล้วก็ยังคงบริภาษว่าพระเถระทั้งหลายเหมือนอย่างเดิมนั้นอีก สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงรับสั่งหาพระฉันนเถระผู้ยังคงบริภาษด่าว่าอยู่อย่างนั้นให้เข้าเฝ้าแล้วประทานพระพุทธโอวาทถึงสามครั้ง ครั้งหลังทรงย้ำให้เห็นความเป็นมิตรที่ดีของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะว่า “ ดูก่อนฉันนะ พระอัครสาวกทั้งสองเป็นกัลยาณมิตรของเธอ เป็นคนมีคุณธรรมสูง เธอจงส้องเสพ จงคบหา กับกัลยาณมิตรเช่นนั้น " เมื่อสมเด็จพระพุทธองค์จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาสืบอนุสนธิโปรดภิกษุทั้งหลายต่อไป จึงได้ตรัสพระพุทธนิพนธคาถาเป็นปัจฉิมพจน์ ว่าดังนี้
น ภเช ปาปเก มิตฺเต น ภเช ปุริสาธเม ภเชถ มิตฺเต กลฺยาเณ ภเชถ ปุริสุตฺตเม.
ไม่พึงคบปาปมิตร ไม่พึงคบคนคุณธรรมต่ำ พึงคบกัลยาณมิตร จึงคบคนมีคุณธรรมสูง
ภิกษุทั้งหลายจํานวนมากซึ่งฟังธรรมอยู่ในสมาคมนั้น ส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุมรรคผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้น โดยสมควร แก่อุปนิสัยของตนๆ
ฝ่ายพระฉันนเถระแม้จะได้ฟังพระพุทธโอวาทนั้นแล้วก็ตาม ก็ยังคงด่า ยังคงบริภาษภิกษุทั้งหลายอีกเหมือนแต่ก่อนนั่นแล ภิกษุทั้งหลายได้นําความกราบทูลสมเด็จพระบรมศาสดาให้ทรงทราบอีก สมเด็จพระบรมศาสดามีพระพุทธดํารัสตรัสแนะนําว่า “ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังทรงชีวิตอยู่พวกเธอจักไม่สามารถที่จะทําให้พระฉันนะสํานึกรู้สึกตัวได้ แต่เมื่อเราปรินิพพานแล้ว พวกเธอจักสามารถทําให้เธอรู้สึกตัวได้ ” ครั้นจําเนียรกาลต่อมาในเวลาใกล้จะปรินิพพานของสมเด็จพระบรมศาสดา ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลถามเรื่องที่จะควรปฏิบัติกับพระฉันนเถระว่า “ พวกข้าพระองค์จะพึงปฏิบัติกับพระฉันนเถระอย่างไรหรือ พระพุทธเจ้าข้า ” สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรับสั่งบังคับเป็นพุทธอาญาไว้ว่า “ ดูก่อนอานนท์ สงฆ์พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุเถิด ” ครั้นต่อมาเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว พระฉันนเถระนั้นได้ทราบพรหมทัณฑ์ที่พระอานนท์เถระ แจ้งให้ทราบ เกิดเป็นทุกข์เป็นร้อนเสียอกเสียใจถึงกับเป็นลมสลบล้มฟุบลงสามครั้ง เมื่อได้สติจึงขอวิงวอนต่อสงฆ์ว่า “ ข้าแต่สงฆ์ผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายอย่าทําให้ข้าพเจ้าฉิบหายเสียเลย ” ตั้งแต่นั้นมาก็มุ่งหน้าบําเพ็ญวัตรปฏิบัติโดยชอบ อยู่มาไม่นานเท่าไร ก็ได้บรรลุพระอรหัตกับทั้งปฏิสัมภิทา ๔ ด้วยประการฉะนี้แล
ลําดับนี้ จะได้วิสัชนาอรรถาธิบายความในท้องนิทานและในพระธรรมเทศนาพุทธนิพพนธคาถา โดยอาศัยอรรถกถานัยและโดยอัตตโนมัดตยาธิบาย เพื่อเฉลิมเพิ่มเติมสติปัญญาฉลองศรัทธาบารมี เพิ่มพูนกุศลบุญราษีส่วนธรรมสวนนัยแก่ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายสืบต่อไป.-
ก็พระฉันนเถระนี้นั้น ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พุทธบริษัททั้งหลายว่า เมื่อครั้งท่านยังเป็นคฤหัสถ์อยู่นั้น ได้เป็นมหาดเล็กตัวโปรดอย่างใกล้ชิดของสมเด็จเจ้าชายสิทธัตถราชกุมารมานาน และเมื่อสมเด็จเจ้าชายสิทธิธัตถราชกุมารหลบหนีออกทรงผนวชด้วยม้ามงคลกัณฐวกะก็ทรงได้ฉันนะมหาดเล็กตัวโปรด เพียงคนเดียวเป็นพระสหายคู่ทุกข์คู่ยากตามเสด็จไปสนองรับใช้ในเวลาสู่ที่ทุรกันดาร ครั้งสมเด็จเจ้าชายสิทธิธัตถราชกุมารทรงผนวชเรียบร้อยแล้ว ฉันนะมหาดเล็กตัวโปรดก็ได้เป็นผู้อาสานําข่าวกลับคืนมากราบทูลพระชนก พระมหษีและพระญาติพระวงศ์ทั้งหลาย ครั้นต่อมาเมื่อสมเด็จเจ้าชายสิทธิธัตถราชกุมารได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ สําเร็จเป็นองค์พระบรมศาสดาอาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว นายฉันนะหมาดเล็กตัวโปรดนั้น ก็ได้ออกบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาตามพระบาทยุคลของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จําเนียงกาลนานมาได้มีนามว่า ฉันนเถระ แต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าอยู่ในฐานะอันใกล้ชิดกับองค์สมเด็จพระบรมศาสดาหรือเป็นพระที่โปรดปราณเหมือนอย่างเมื่อเป็นคฤหัสถ์ เพราะบุญบารมีไม่ถึงฐานะที่จะเป็นเช่นนั้นได้ในเพศบรรพชิพ แม้แต่มรรคผลเบื้องต้นก็ยังมิได้บรรลุ ดังนั้นจึงไม่สมควรที่จะรับสนองการงานของสมเด็จพระบรมศาสดาในตําแหน่งใกล้ชิดได้ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงใช้ท่านพระสารีบุตรเถระเป็นดุจพระพาหาเบื้องขวา ทรงใช้ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นดุจพระพาหาเบื้องซ้าย ท่านพระเถระทั้งสองนั้น จึงเป็นที่รู้จักกันในหมู่พุทธบริษัทสมัยนั้นว่า ท่านพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ซึ่งถือว่าเป็นตําแหน่งที่มีความสําคัญที่สุดประจําพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือนับว่าเป็นตําแหน่งที่สองรองลงมาจากสมเด็จพระพุทธองค์ และที่เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เพราะมุโขโลกนะ คือการเห็นแก่หน้าบุคคลหรือที่เรียกว่าเลือกที่รักผลักที่ชังก็หามิได้ แต่หากท่านพระอัครสาวกทั้งสองนั้น นอกจากเป็นพระอรหันตขีณาสพแล้ว ย่อมเป็นผู้ที่ทรงคุณวุฒิพิเศษยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย คือท่านพระสารีบุตรเถระนั้น เป็นผู้ล้ำเลิศประเสริฐที่สุดในทางเป็นผู้ทรงปัญญา เว้นเสียแต่สมเด็จพระพุทธองค์แล้วก็ไม่มีพระเถระรูปใดที่มีปัญญาเทียบถึง ส่วนท่านพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นเป็นผู้เลิศประเสริฐที่สุดในทางเป็นผู้ทรงฤทธิ์ เว้นเสียแต่สมเด็จพระพุทธองค์แล้ว ก็ไม่มีพระรูปใดที่มีอิทธิฤทธิ์เทียบถึง
ฝ่ายพระฉันนเถระนั้นในฐานะที่ตนเคยได้เป็นมหาดเล็กตัวโปรดมาแต่เมื่อเป็นคฤหัสถ์ ทิฏฐิมานะในเหตุนั้นยังติดสันดานมาอย่างหนึ่ง กับอีกอย่างหนึ่งได้เห็นท่านพระอัครสาวกทั้งสองเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะใกล้ชิดติดต่อกับสมเด็จพระบรมศาสดาเสมออย่างหนึ่ง และโดยเหตุที่ตนยังเป็นภิกษุปุถุชนอยู่ด้วย จึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจมากขึ้นทุกทีๆ จนในที่สุดเมื่อทิฏฐิมานะแก่กล้าขึ้นก็อดรนทนอยู่ไม่ได้ จึงบริภาษด่าว่าท่านพระอัครสาวกทั้งสองด้วยประการต่างๆ เป็นต้นว่า “ เมื่อเวลาที่สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จออกบวช นั้น ไม่เห็นมีใครแม้สักคนเดียวที่ตามเสด็จ ครั้นเมื่อเดี๋ยวนี้พระทั้งสองนั้นเที่ยวพูดอวดอ้างตนว่า ฉันชื่อสารีบุตรฉันชื่อโมคคัลลานะ เราเป็นอัครสาวก ” เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบดังนั้น ก็ได้รับสั่งให้มาเฝ้าแล้วทรงพระโอวาทสั่งสอนด้วยดี แต่พระฉันนเถระนั้นก็เชื่อฟังนิ่งสงบได้ก็เฉพาะต่อพระพักตร์ของสมเด็จพระพุทธองค์เท่านั้น ครั้นออกพ้นพระเนตรพระกัณฐ์ไปแล้วก็ยังคงบริภาษด่าว่าอยู่อย่างเดิม โดยทํานองนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงพระมหากรุณารับสั่งให้เข้าเฝ้าและทรงพระโอวาทพร่ำสอนด้วยพระองค์เองถึงสามครั้งสามหน แต่กระนั้นพระฉันนเถระ ก็หาถอดถอนทิฏฐิมานะได้ไม่ คือยังคงบริภาษด่าว่าพระเถระทั้งหลายอยู่อย่างเดิม จนในที่สุดสมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงรับสั่งกับพระอานนท์พุทธอุปัฏฐากไว้ให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนเถระในเมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว และเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว พระฉันนเถระถูกสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์จึงเกิดได้สํานึกรู้สึกตัว แล้วละเลิกการบริภาษมุ่งหน้าบําเพ็ญสมณธรรมด้วยดี ต่อมาไม่นานก็ได้สําเร็จเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา
การที่พระฉันนเถระมีทิฏฐิมานะอวดดื้อถือดีนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ประการที่ ๑ เพราะเหตุที่ตนเคยเป็นมหาดเล็กคนโปรดมาอย่างใกล้ชิดเมื่อยังเป็นคฤหัสถ์ ประการที่ ๒ เพราะเหตุที่พระฉันนเถระได้ยึดถือเอาสมเด็จพระบรมศาสดาเป็นสรณะด้วยทิฏฐิมานะ ในฐานะที่พระองค์เคยเป็นเจ้านายมาก่อน รวมความว่า เพราะพระฉันนเถระมีฐานที่ตั้งแห่งทิฏฐิมานะอย่างใหญ่ ๆ ถึง ๒ ประการ ดังนั้นทิฏฐิมานะจึงเจริญแก่กล้าหรือมีฐานที่ตั้งมั่นคงแข็งแรง จึงไม่มีใครสามารถปลดเปลื้องหรือทําลายทิฏฐิมานะของท่านออกได้ ต้องรอจนฐานผุพังเสียก่อน คือสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว สงฆ์จึงสามารถทําลายทิฏฐิมานะของท่านได้ โดยความจริงในข้อนี้จึงมีเชื้อสายสืบมาจนกระทั่งสมัยปัจจุบัน วันนี้ คือถ้าผู้ใดเป็นลูกสมภารเป็นหลานเจ้าวัดแล้ว ก็มักจะมีทิฏฐิมานะกล้าเป็นเหตุให้ว่านอนสอนยาก จนมีคํากล่าวกันเป็นสถาบันอย่างหนึ่งว่า ถ้าผู้ใดอวดดื้อถือดีว่ายากสอนยากแล้ว ก็มักจะพูดว่า “ เพราะเป็นลูกสมภารหลานเจ้าวัดดังนี้ ” ข้อนี้จึงควรถือเป็นกฎแห่งความจริงได้อย่างหนึ่ง สําหรับผู้ที่มีทิฏฐิมานะมากมาแต่กําเนิด อธิบายว่า คนที่ว่ายากสอนยากนั้น มี ๒ จําพวก คือจําพวกแรก เพราะได้ทิฏฐิมานะอย่างแรงกล้าติดสันดานมาตั้งแต่กําเนิด หรือที่เรียกว่าเป็นกรรมพันธุ์ จําพวกที่ ๒ ได้ทิฏฐิมานะแต่กําเนิดไม่แรงกล้า แต่ได้ฐานที่รองรับดีในภายหลัง คนว่ายากสอนยากจําพวกแรก ย่อมว่ายากสอนยากไปตลอดกาล เลยไม่มีใครอาจสั่งสอนให้ถอนทิฏฐิมานะได้ในชาติเดียวนั้น ตัวอย่างเช่นพระเทวทัตเถระที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับสมเด็จพระบรมศาสดา คนว่ายากสอนยากจําพวกหลัง ย่อมเป็นอยู่ชั่วระยะกาลที่มีฐานรองรับอยู่ เมื่อฐานนั้นถูกทําลายไปแล้ว ก็มีทางกลับเป็นคนว่านอนสอนง่ายได้ ตัวอย่างเช่นพระฉันนเถระในเรื่องนี้
อนึ่ง ฐานอันเป็นที่ตั้งของทิฏฐิมานะเช่นตําแหน่งแห่งที่ หรือผู้หลักผู้ใหญ่อุปถัมภ์ค้ำชูเป็นต้นนั้น ความจริงมิได้สําเร็จเป็นฐานของทิฏฐิมานะแก่คนทุกคน จะเป็นได้ก็เฉพาะจําพวกที่มีทิฏฐิมานะเป็นทุนมาแต่กําเนิดเท่านั้น ส่วนบุคคลที่ไม่มีทิฏฐิมานะมาแต่กําเนิด หรือมีก็ชนิดบางเบา แม้ถึงจะได้ฐานรองรับ ดังกล่าวแล้วก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดทิฏฐิมานะจนถึงขนาดสอนมิได้หรือเอาไว้ไม่ฟัง ซึ่งมีตัวอย่างอยู่ทั่วไป บุคคลที่อยู่ในฐานะเป็นลูกสมภารหลานเจ้าวัด หรือมีผู้หลักผู้ใหญ่อุ้มชูอย่างยิ่งใหญ่ แต่ก็มิได้เป็นบุคคลที่ว่ายากสอนยาก เช่นดังพระฉันนเถระนั้น
กิเลส คือ ทิฏฐิและมานะอันเป็นตัวการปรุงแต่งจิตใจคนให้เป็นผู้ว่ายากสอนยากนี้นั้น เป็นชาติเจตสิกธรรมและเป็นสังขารขันธ์ในขันธ์ ๕ และอยู่ในเครือของโลภเจตสิก โลภะนั้นเป็นมูลฐานให้เกิดอกุศล จิตได้ ๘ ดวง ซึ่งเรียกว่าโลภมูลจิต ดังนั้น ทิฏฐิหรือมานะ จึงเกิดร่วมกับจิตที่เป็นโลภมูลนี้ ไม่เกิดร่วมจิตที่เป็นโทสมูล และโลภมูลจิต ๘ ดวงนั้น ทิฏฐิเกิดร่วมกับจิตที่เป็นทิฏฐิสัมปยุต ๔ ดวง มานะเกิดร่วมกับจิตที่เป็นทิฆฐิวิปปยุต ๔ ดวง หาเกิดร่วมกับจิตอื่นนอกจากนี้ไม่ ดังนั้นเมื่อจิตดวงที่จะให้ปฏิสนธิคือให้มาเกิดนั้น เป็นจิตที่มีทิฏฐิหรือมีมานะประสมอยู่ด้วย คนนั้นก็ได้ชื่อว่า มีทิฆฐิมานะมาแต่กําเนิด แต่ถ้าจิตดวงที่ให้ปฏิสนธินั้นไม่มีทิฏฐิมานะประสมอยู่ด้วย คนนั้นก็ได้ชื่อว่าไม่มีทิฏฐิมานะมาแต่เกิดเช่นนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นจึงปรากฏเป็นประจักษ์ให้เห็นในบุคคลแต่ละบุคคลอยู่ทั่วไปว่า ลางบุคคลว่านอนสอนง่ายไม่มีทิฏฐิมานะ ลางบุคคลก็ว่ายากสอนยากมีทิฆฐิมานะกล้าแข็ง ลางบุคคลก็พอจะสอนได้ ลางบุคคลก็สอนไม่ได้จนตลอดชีวิต ผลเหล่านี้ย่อมเกิดมาแต่เหตุสันฐานคือจิตใจอันมีนัยดังวิสัชนามาโดยสังเขปนี้
สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงอาศัยปฏิปทาของพระฉันนเถระเป็นเหตุ จึงได้ทรงเสดงพระธรรมเทศนา โปรดภิกษุทั้งหลายซึ่งรวมทั้งพระฉันนเถระด้วย โดยพระพุทธนิพนธคาถาสุภาษิตซึ่งมีข้อความสั้นๆ ดังนี้
ไม่พึงคบปาปมิตร ไม่พึงคบคนมีคุณธรรมต่ำ พึงคบกัลยาณมิตร พึงคบคนมีคุณธรรมสูง.
อธิบายว่า คําว่า ปาปมิตร แปลว่า มิตรบาปหรือมิตรชั่วได้แก่คนที่หลงใหลพอใจในการกระทํา อกุศลบาปกรรม ๑๐ อย่างเป็นนิสัยสันดาน อกุศลกรรม ๑๐ อย่างนั้น คือ ฆ่าสัตว์ ๑ ลักทรัพย์ ๑ ประพฤติ ผิดประเวณี ๑ สามข้อนี้เรียกว่ากายกรรม พูดเท็จ ๑ พูดส่อเสียด ๑ พูดคําหยาบ ๑ พูดไร้ประโยชน์ ๑ สี่ข้อ นี้เรียกว่า วจีกรรม คิดโลภอยากได้ ๑ พยายามป้องร้าย ๑ เห็นผิด ๑ สามข้อนี้เรียกว่า มโนกรรม, คําว่า คนมีคุณธรรมต่ำ ได้แก่บุคคลที่มีใจเป็นอกุศล แล้วชักจูงนําพาให้กระทําในสิ่งที่ไม่สมควรต่างๆ ถ้าเป็นคฤหัสถ์ ก็ชักจูงนําพาในทางตัดช่องย่องเบาหรือปล้นสะดมเป็นต้น ถ้าเป็นบรรพชิด ก็ชักจูงนําพาให้ประพฤติอนาจาร หรืออเนสนากรรมต่างๆ เช่นแสวงหาลาภด้วยลาภอย่างคฤหัสถ์ ประจบตระกูลเพื่อให้คนเคารพนับถือในทางไม่เป็นธรรมไม่เป็นวินัยเป็นต้น. สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสอนไม่ให้คบหาสมาคมกับบุคคลที่เป็นบาปมิตรและบุคคลที่มีคุณธรรมต่ำ เช่นที่กล่าวมาแล้ว เพราะการคบหาสมาคมเช่นนั้นจะไม่มีความดีเลย จะมีแต่ความเสื่อมเสียโดยส่วนเดียว เมื่อพระองค์ทรงห้ามมิให้คบหาสมาคมกับบุคคลเช่นนั้นแล้ว จึงทรงสอนให้คบหาสมาคมกับบุคคลที่ควรคบหาสมาคมต่อไปว่า “ พึงคบกัลยาณมิตร พึงคบคนมีคุณธรรมสูง ”
คําว่า กัลยาณมิตร แปลว่ามิตรดี ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกับบาปมิตร คือ พอใจกระทําแต่กุศล กัลยาณกรรม ๑๐ ประการ มีไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์เป็นต้น อนึ่งบุคคลที่เป็นกัลยาณมิตรชั้นผู้ใหญ่ที่ควรจะเข้าไปมอบกายถวายตัวเป็นศิษย์ของท่านนั้น ต้องเป็นผู้ที่ประกอบด้วยองค์คุณ ๑๐ ประการ ที่ท่านพระโบราณาจารย์แสดงเป็นคาถาภาษาบาลีไว้ดังนี้
บีโย ครุ ภาวนีโย อตฺตา จ วจนกตฺขโม คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา โน จฏฺฐาเน นิโยชโก
๑.เป็นที่รัก ๒. เป็นที่เคารพ ๓. เป็นที่สรรเสริญ ๔. เป็นผู้กล้าว่ากล่าว ๕. เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคําได้ ๖. เป็นผู้สามารถสอนถึงอรรถรส ๗. เป็นผู้ไม่ชักจูงในทางที่ไม่สมควร บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์คุณ ๗ ประการนี้ เรียกว่า เป็นกัลยาณมิตร ส่วนเป็นคนผู้มีคุณธรรมสูงนั้น หมายเอาสัตบุรุษมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ต่ำลงมาจนถึงพระอริยเจ้าทั้ง ๔ จําพวก มีพระโสดาบันอริยบุคคลเป็นที่สุด บุคคลที่นับว่าเป็นกัลยาณมิตร และเป็นผู้มีคุณธรรมสูงดังพรรณนามาโดยย่อนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสั่งสอนให้เข้าคบหาสมาคม โดยเฉพาะในที่นี้ สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสอนพระฉันนเถระว่า “ สารีบุตรและโมคคัลลานะนั้นเป็นกัลยาณมิตรของเธอ เธอจงส้องเสพ จงคบหากับกัลยาณมิตรเช่นนั้น ” โดยปกตินั้นบุคคลผู้มีคุณธรรมสูง ย่อมไม่กระทําความชั่ว ดังนั้น จึงได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรด้วย บุคคลที่มีคุณธรรมในใจ และตั้งตนไว้ในความเป็นกัลยาณมิตรดังพรรณนามานี้ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสสอนให้นําตนเข้าไปส้องเสพคบหา เพราะต้องเสพคบหากับบุคคลเช่นนั้น ย่อมจะมีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อม ด้วยประการฉะนี้
แสดงพระธรรมเทศนาในเรื่องพระฉันนเถระ ก็นับว่าพอเป็นเครื่องโสดสรงองค์ศรัทธา และสมควรแก่กาลเวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้
( ๖ มิ.ย. ๒๕๐๕ เวลา ๑๘.๓๒ น. ) เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:พระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ
พระธรรมบทเทศนา พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา (๒) เรื่องพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ [๖๑] ---------------------------------------- นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โอวเทยฺยานุสาเสยฺย อสพฺภา จ นิวารเย สตํ หิ โส ปิโย โหติ อสตํ โหติ อปฺปิโยติ.
บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนาเรื่องพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ อันมีมาในคัมภีร์อรรถกถาพระธรรมบท ขุททกนิกาย ปัณฑิตวรรค แห่งสุตตันตปิฎก นับเป็นลําดับเรื่องที่ ๖๑ เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธีส่วนธรรมสวนมัยสืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า -
สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต - สมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จประทับพระอิริยาบถ อยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลาย โดยทรงปรารภพระอสัสชิ กับพระปุนัพพสุกะให้เป็นอุปบัติเหตุ ซึ่งมีเรื่องเล่าโดยย่อดังนี้ พระธรรมเทศนา ครั้งนั้นได้มีขึ้น ณ ที่กิฎาคีรีวิหาร
เต กิร กิญฺจาปิ - ดังได้ยินมา พระภิกษุ ๒ รูป คือ พระอัสสชิกับพระปุนัพพสุกะนั้น ความจริงเป็นสัทธิวิหาริกของท่านพระอัครสาวกทั้ง ๒ คือ พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งนับว่าได้เข้าอยู่ในสํานักพระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่ดีอันหาได้ยากแล้ว น่าจะเป็นภิกษุที่มีความประพฤติปฏิบัติดีงามตามพระอุปัชฌาย์อาจารย์ แต่ตรงกันข้ามพากันประพฤติตนเป็นอลัชชีไม่มีความกระดากละอาย ชอบประพฤติปฏิบัติเป็นพระเลวทราม กล่าวคือ เมื่อภิกษุ ๒ รูปนั้นกับทั้งภิกษุที่เป็นบริวาร ๕๐๐ รูป อยู่ที่กิฏาคีรีวิหาร พากันประพฤติอนาจารมีประการต่างๆ เช่น ปลูกต้นไม้กระถางเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง และทํากุลทุสกกรรม คือการประจบประแจงกับตระกูล เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยปัจจัยทั้งหลายอันเกิดแต่การกระทํานั้นๆ ได้กระทําอาวาส คือที่อยู่อาศัยนั้นไม่ให้เป็นที่น่าอยู่อาศัยของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักทั้งหลาย ฉะนี้
สตฺถา ตํ ปวตฺตึ สุตฺวา - ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดาเมื่อได้ทรงทราบถึงการประพฤติลามกอนาจารดังนั้น ด้วยพระพุทธประสงค์ที่จะทรงกระทําปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น จึงทรงมีพระพุทธบัญชาให้หาท่านพระอัครสาวกทั้ง ๒ พร้อมทั้งภิกษุบริวารมาเฝ้า แล้วมีพระพุทธดํารัสตรัสสั่งกับพระอัครสาวกทั้ง ๒ ว่า “ สารีปุตตา ดูก่อนสารีบุตรและโมคคัลลานะ พวกเธอจงพากันไปพิจารณา สอบสวนดูพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ พร้อมทั้งบริวารเหล่านั้น ถ้าจําพวกใดไม่เอื้อเฟื้อเชื่อฟังคําของพวกเธอ ก็จงกระทําปัพพาชนียกรรมขับไล่ภิกษุเหล่านั้นเสีย ส่วนจําพวกใดเอื้อเฟื้อเชื่อฟังคําของพวกเธอด้วยดี พวกเธอก็จงรับทําหน้าที่ว่ากล่าวและพร่ำสอนภิกษุเหล่านั้น เพราะผู้ทําการว่ากล่าวทําการพร่ำสอนนั้น จะไม่เป็นที่รักที่ชอบใจก็เฉพาะในหมู่ชนที่ไม่ใช่บัณฑิต แต่ย่อมเป็นที่รักใคร่เป็นที่เจริญใจสําหรับบัณฑิตชนทั้งหลาย ” ครั้นประทานพระพุทธโอวาทดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาสืบอนุสนธิ โปรดภิกษุทั้งหลายต่อไป จึงได้ตรัสพุทธนิพนธคาถาเป็นปัจฉิมพจน์ ดังนี้
โอวเทยฺยานุสาเสยฺย อสพฺภา จ นิวารเย สตํ หิ โส ปิโย โหติ อสตํ โหติ อปฺปิโย.
บุคคลพึงโอวาทพึงอนุสาสก์และพึงห้ามจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะผู้โอวาท ผู้อนุสาสก์นั้นย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย จะไม่เป็นที่รัก แต่จำพวกอสัตบุรุษเท่านั้น.
ภิกษุทั้งหลายจํานวนมากซึ่งฟังธรรมอยู่ในสมาคมนั้น ส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี ในเวลาจบพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุมรรคผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้น โดยสมควรแก่อุปนิสัยของตนๆ ส่วนท่านพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะอัครสาวกทั้ง ๒ พากันไป ณ กิฏาคีรีวิหารนั้นแล้ว โอวาทอนุสาสก์ภิกษุเหล่านั้นตามพระพุทธบัญชา ภิกษุเหล่านั้นลางจําพวกก็ยินยอมรับโอวาทประพฤติปฏิบัติตามแต่โดยดี ลางจําพวกที่ไม่ชอบใจก็พากันสึกออกไป ลางจําพวกก็ถูกลงปัพพาชนียกรรมขับไล่ออกจากที่นั้นด้วยประการฉะนี้
ลําดับนี้ จะได้วิสัชนาอรรถาธิบายความในท้องนิทานและในพระธรรมเทศนาพุทธนิพนธคาถา โดยอาศัยอรรถกถานัย และโดยอัตตโนมัตยาธิบาย เพื่อเฉลิมเพิ่มเติมสติปัญญาฉลองศรัทธาบารมี เพิ่มพูนกุศลบุญราษี ส่วนธรรมสวนมัยแก่ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายสืบต่อไป
ในนิทานเรื่องนี้ แสดงให้เห็นความประพฤติปฏิบัติในทางที่ไม่ดีของภิกษุสมัยพุทธกาลอีกด้านหนึ่ง คือ มีภิกษุสองรูปที่เป็นหัวหน้าใหญ่ คือพระอัสสชิ ๑ พระปุนัพพสุกะ ๑ กับมีภิกษุที่เป็นบริวารอีก ๕๐๐ รูป และภิกษุทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นสัทธิวิหารริกของท่านพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ผู้อัครสาวกทั้งนั้น แต่ได้พากันแยกไปสํานักอยู่ที่กิฏาคีรีวิหาร ครั้นแล้วแทนที่จะพากันศึกษาพระพุทธวจนะให้มีความรู้ความฉลาดในพระธรรมวินัย หรือปฏิบัติธรรมกรรมฐานให้จิตใจสงบระงับดับกิเลสตัณหา ตามเยี่ยงอย่างสมณะที่ดีทั้งหลายเหล่าอื่น แต่ก็หาได้ประพฤติเช่นนั้นไม่ ได้พากันประพฤติสิ่งที่เป็นอนาจาร ไม่เอื้อเฟื้อในพระธรรมวินัยมีประการต่างๆ หลายอย่างหลายชนิด เช่นเล่นต้นไม้กระถางสวย ๆ งาม ๆ โดยลงมือปลูกด้วยตนเองบ้าง และใช้คนอื่นช่วยปลูกให้บ้างเพลิดเพลินเจริญใจไปตามการเล่นนั้น ๆ โดยไม่มีความกระดากละอายใจ กลับเห็นเป็นการดีการชอบไป และเที่ยวประจบประแจงกับคฤหัสถ์ โดยการให้สิ่งของกํานัล หรือแลกเปลี่ยนซื้อขายกันอย่างคฤหัสถ์ ตามสํานวนวินัยเรียกว่าประพฤติเป็น กุลทุสก แปลว่า ประทุษร้ายตระกูล คือการกระทําดังนั้น เป็นเหตุให้คนในตระกูลนั้นขาดศรัทธาเลื่อมใสในคุณงามความดีอันสําเร็จมาแต่สัมมาปฏิบัติ ถึงคฤหัสถ์จะรักจะนับถือก็ไม่ใช่รักนับถือคุณธรรม เป็นการรักนับถือกันอย่างคนดีทั้งหลายรักนับถือกัน เพราะเหตุที่ทําคนในตระกูลนั้น ๆ ให้ขาดจากศรัทธาและความเลื่อมใสในพระธรรมวินัยด้วยการประพฤติเช่นนั้น จึงเรียกเป็นสํานวนโวหารว่า กุลทุสก คือ ผู้ประทุษร้ายตระกูล ภิกษุเหล่านั้นพากันประพฤติอนาจารและประทุษร้ายตระกูลโดยปราศจากหิริความละอายแก่ใจ จนอาศัยเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยการกระทําเช่นนั้น อันเป็นลักษณะแห่งการค้าขายเหมือนอย่างคฤหัสถ์ ซึ่งโดยปกติสมเด็จพระบรมศาสดาทรงห้ามมิให้ภิกษุในพระพุทธศาสนาประพฤติปฏิบัติดังนั้น อันไม่ใช่ธุระหน้าที่ของผู้เป็น สมณะ คําว่า สมณะ หมายความว่าเป็นผู้สงบระงับจากบาปอกุศล คําว่า ภิกขุ หมายความว่าผู้ทําลายกิเลส การประพฤติปฏิบัติที่จะให้สงบระงับหรือเพื่อทําลายกิเลสนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาทรงวางไว้ให้เป็นภาระธุระที่ภิกษุทั้งหลายจะพึงปฏิบัตินั้นมีอยู่ ๒ ประการ คือ คันถะธุระ ได้แก่การเรียนให้รู้พระพุทธวจนะคือคําสั่งสอน ๑ วิปัสสนาธุระ ได้แก่การบําเพ็ญสมณธรรม คือเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสนากรรมฐาน ๑ ธุระทั้ง ๒ ประการนี้ เป็นภาระหน้าที่ของพระภิกษุผู้บวชในพระพุทธศาสนา สิ่งอื่นนอกจากธุระ ๒ ประการนี้แล้ว ถือว่าไม่ใช่ธุระหน้าที่ หรือไม่เป็นสิ่งที่ภิกษุจะพึงกระทําเพราะธุระอื่นๆ นั้น จะทําให้จิตใจสงบระงับจากกิเลสไม่ได้ มีแต่จะเป็นเชื้อยั่วเย้าเร้ากิเลสให้เฟื่องฟูมากขึ้น เช่นการเล่นต้นไม้กระถาง การปลูกต้นไม้เล่นเองก็ดี หรือใช้คนอื่นปลูกก็ตามที ไม่ใช่วิสัยของสมณะ เพราะเป็นสิ่งที่เสริมสร้างหรือยั่วยุให้เกิดกิเลสตัณหาทั้งนั้น ด้วยเหตุนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามไว้มิให้ภิกษุทั้งหลายประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นด้วยประการฉะนี้
ส่วนพวกภิกษุอัสสชิกับภิกษุปุนัพพสุกะพร้อมด้วยบริวารนั้น แม้จะได้มีโชคดีเข้าไปบวชในสํานักพระอัครสาวกทั้ง ๒ แล้วก็ดี แต่เมื่อได้แยกสํานักไปอยู่ที่กิฏาคีรีวิหารมีศิษย์บริวารมาก ก็เกิดความประมาทปล่อยโอกาสให้นิสัยสันดานของคฤหัสถ์เข้ามาครอบงําจิตใจ เลยพากันปล่อยปละละทิ้งสมณวิสัย และเลิกล้างห่างเหินจากภาระธุระหน้าที่ของตน นําเอากิจการของคฤหัสถ์ชนมาเป็นธุระจนปราศจากหิริ โอตตัปปธรรม จึงพากันประพฤติอนาจารและกุลทุสกกรรมมีประการต่างๆ ดังวิสัชนามาแล้ว พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่บวชแล้วไม่มุ่งต่อธรรมวินัยและไม่ประสงค์ที่จะทําตนให้พ้นทุกข์ แต่บวชเพื่อบํารุงบําเรอตนให้เพลิดเพลินหลงใหลในปัญจกามคุณารมณ์เหมือนอย่างคฤหัสถ์ ได้เคยมีมาแล้วแต่ครั้งสมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงพระชนมายุอยู่ และโดยเฉพาะเป็นสัทธิงวิหาริกของท่านพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นมหาเถระชั้นรองจากสมเด็จพระพุทธองค์ ก็ยังมีโอกาสประพฤติปฏิบัตินอกธรรมนอกวินัยเป็นพระภิกษุอลัชชีไม่มียางอาย เหมือนอย่างพวกภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะในเรื่องนี้ ดังนั้น การที่มีพระสมัยปัจจุบันนี้ ประพฤติปฏิบัตินอกลู่นอกทางนอกธรรมนอกวินัยอยู่บ้างนั้น จึงไม่เป็นของแปลกประหลาด ย่อมมี ย่อมเป็นได้เป็นธรรมดา เพราะแต่ในสมัยพุทธกาลซึ่งมีสมเด็จพระพุทธองค์ทรงเป็นประมุขอยู่ และอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ผู้วิเศษแล้วทั้งนั้น ก็ยังมีภิกษุที่เป็นศิษย์เป็นอันเตวาสิกเป็นสัทธิงวิหาริกประพฤตินอกธรรมนอกวินัย ดังวิสัชนามาแล้ว ทั้งนี้ย่อมแสดงให้เห็นความจริงอย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าสมัยใด กาลไหน คนดีคนชั่ว คนสันดานดี คนสันดานชั่ว ย่อมมีประสมสับปนกันอยู่เสมอ ที่ว่าคนสมัยโน้นดี คนสมัยนี้เลว หรือคนสมัยนี้ดี คนสมัยโน้นเลวนั้นหาเป็นความจริงไม่ และคนดีหรือคนมีสันดานดีมาแต่กําเนิดนั้น ถึงจะชั่วจะเลวไปเพราะเหตุแห่งการร้องเสพคบหากับบาปมิตร หรือได้สิ่งที่แวดล้อมไม่ดีไปแล้วก็ตาม ถ้าภายหลังได้กัลยาณมิตรคือครูอาจารย์ที่ดีหรือได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมดี ก็มีโอกาสจะกลับฟื้นคืนดีได้อยู่ แต่ถ้าเป็นคนชั่วหรือมีสันดานชั่วมาแต่กําเนิดแล้ว ถึงแม้จะได้ครูอาจารย์ดีอย่างไร หรือได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมดีอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะกลับฟื้นคืนมาเป็นคนดีได้ ข้อนี้เป็นธรรมนิยามอย่างหนึ่ง และพึงเห็นสักขีพยานในจําพวกภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะเป็นตัวอย่าง ในเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาทรงสั่งท่านพระอัครสาวกทั้งสองผู้เป็นพระอุปัชฌาย์โดยตรงไปอบรมสั่งสอนครั้งนั้น ปรากฏผลว่า ภิกษุเหล่านั้นแยกออกไปเป็น ๓ จําพวก จําพวกที่หนึ่งยอมรับโอวาท คือย่อมรับสารภาพผิดแล้วกลับจิตใจปฏิบัติตามโดยชอบต่อไป จําพวกที่สองไม่ยอมเชื่อฟังและไม่ยอมปฏิบัติตามโอวาท พากันสึกหาละเพศออกไป จําพวกที่สาม ซึ่งเชื่อฟังแต่ไม่สนิทไม่น่าไว้ใจ ถูกปัพพาชนียกรรมคือให้ออกจากที่นั้นไปอยู่ที่อื่นซึ่งมีพระอาจารย์เข้มงวดกวดขัน ดังนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้พระสารีบุตรเถระซึ่งเป็นผู้ประเสริฐด้วยปัญญา แม้พระมหาโมคคัลานะเถระผู้ประเสริฐด้วยฤทธิเดช ก็ไม่สามารถที่จะบันดาลสัทธิงวิหาริกของตนซึ่งมีสันดานชั่วให้กลับตนเป็นคนดีได้ ต้องปล่อยไปตามยถากรรมของเขาเอง เมื่อเป็นความจริงดังนี้ ก็ไม่ต้องขวนขวายหาอุบายที่จะมาสอนคนเลวให้กลับเป็นคนดีให้เสียเวลาและเสียทุนไปเปล่าๆ ถ้ามีผู้ใดรับอาสาว่ามีอุบายทําให้สําเร็จได้ ผู้นั้นก็แสดงตนว่า เป็นผู้ประเสริฐวิเศษกว่าท่านพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เราผู้เป็นพุทธศาสนิกชนจะพึงเชื่อได้ละหรือ ? อนึ่งพึงสังเกตได้ด้วยว่า คําว่าพระอัสสชินั้นมีชื่อเหมือนกันหลายองค์ เช่นพระปัญจวัคคีย์ ๕ รูป ก็มีชื่อว่าพระอัสสชิอยู่รูปหนึ่ง แต่พระอัสสชิในเรื่องนี้ไม่ใช่พระอัสสชิในภิกษุปัญจวัคคีย์ เพียงมีชื่อเหมือนกันเท่านั้น
ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดา เมื่อทรงทราบความประพฤติอนาจารของคณะภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะ ดังนั้น จึงทรงมีพระพุทธดํารัสสั่งให้พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะไปทําการปราบปรามและปรับปรุงแก้ไข และก่อนแต่จะทรงส่งไปได้ทรงประทานกุสโลบายอันประเสริฐว่า ถ้าภิกษุเหล่าใดไม่เอื้อเฟื้อเชื่อฟัง ก็จึงลงโทษปัพพาชนียกรรมให้ออกไปเสียจากที่นั้น ส่วนภิกษุเหล่าใดเอื้อเฟื้อเชื่อฟัง ก็ให้รับไว้โดยให้ว่ากล่าวและพร่ำสอนอย่างใกล้ชิดต่อไป อย่าเกรงกลัวว่าเขาจะโกรธจะเกลียด โดยให้ถือเอาประโยชน์ตามที่ถูกเป็นประมาณ ครั้นแล้ว สมเด็จพระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรด โดยพระพุทธนิพนธคาถาสุภาษิต ซึ่งมีข้อความสั้น ๆ ดังนี้
บุคคลพึงโอวาทพึงอนุสาสก์และพึงห้ามจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะผู้โอวาทผู้อนุสาสก์นั้นย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย จะไม่เป็นที่รักก็แต่จําพวกอสัตบุรุษเท่านั้น.
อธิบายว่า การบอกให้รู้ในความผิดที่เกิดขึ้นนั้นชื่อว่า โอวาท คือ การว่ากล่าว การชี้ให้เห็นโทษอันจะมีขึ้นในกาลต่อไปในเพราะความผิดนั้น เช่นว่า ความเสื่อมเสียจะพึงมีแก่เธอดังนี้ ชื่อว่า อนุสาสก์ คือ การพร่ำสอน อีกอย่างหนึ่ง การว่ากล่าวต่อหน้าชื่อว่า โอวาท การส่งคนไปหรือส่งหนังสือไปสั่งสอนในที่ลับหลังชื่อว่า อนุสาสก์ อีกอย่างหนึ่งการว่ากล่าวครั้งเดียวชื่อว่า โอวาท การว่ากล่าวบ่อยๆ ชื่อว่า อนุสาสก์ ก็บุคคลผู้จะโอวาทหรืออนุสาสก์นี้นั้น โดยปกติหาได้ยากอยู่ ทั้งนี้ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ประการที่ ๑ ผู้จะโอวาทหรืออนุสาสก์คนอื่นได้นั้น จักต้องเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดมีความรู้หลักเป็นนักปราชญ์พอสมควร และต้องประพฤติตนดีเป็นตัวอย่างของผู้อื่นได้ เป็นที่เคารพเชื่อถือของคนทั้งหลาย บุคคลประเภทนี้หาได้ยากในสังคม ประการที่ ๒ ผู้จะโอวาทหรืออนุสาสก์คนอื่นนั้น จักต้องเป็นผู้ยอมเสียสละหรือกล้าได้กล้าเสียตามที่ถูก เพราะการว่ากล่าวสั่งสอนคนอื่นนั้น จะต้องประสบอุปสรรคมีประการต่างๆ โดยเฉพาะคือการต่อต้านไม่ยอมรับผิดรับถูกโดยดี และเป็นที่ก่อกวนรําคาญแก่คนส่วนมาก บางที ถ้าผู้ว่ากล่าวสั่งสอนนั้นไม่ฉลาดไม่สามารถในเชิงสั่งสอน หรือไม่ฉลาดในวาทศิลป์ กลายเป็นการสร้างศัตรู เป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย เมื่อเป็นดังนี้ แม้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์โดยมากจึงไม่ชอบที่จะว่ากล่าวและพร่ำสอนศิษย์อย่างจริงจัง มักจะหลับหูหลับตาปล่อยปละละไปตามอารมณ์ของศิษย์ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์บางจําพวกเมื่อเห็นศิษย์ประพฤติบกพร่องหรือกระทําสิ่งที่ไม่ดีไม่งามแล้วก็คิดไปเสียว่า ถ้าไปว่ากล่าวพร่ำสอนเขา เขาก็จะโกรธ เขาจักไม่เคารพนับถือ เขาจักไม่ปฏิบัติวัตรฐาก แล้วก็จักเป็นการเสื่อมลาภหรือเสื่อมบริวาร จึงไม่สามารถที่จะคอยว่ากล่าวหรือเอาใจใส่พร่ำสอน ทั้ง ๆ ที่ตนเป็นผู้มีความรู้ความฉลาดพอที่จะว่ากล่าวสั่งสอนได้ เรียกว่าตกไปอยู่ในอํานาจแห่งภยาคติ คือเพราะเกรงกลัว ลักษณะของผู้เป็นครูอุปัชฌาย์อาจารย์ที่เป็นดังนี้มีอยู่เป็นอันมากทุกกาลทุกสมัย แม้ในครั้งสมัยสมเด็จพระบรมศาสดายังทรงพระชนมายุอยู่ ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายใน เรื่องนี้ว่า
จงโอวาทจงอนุสาสก์ ดังนี้ ซึ่งหมายความว่า ผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ในฐานะครูอุปัชฌาย์อาจารย์ หรืออยู่ในฐานะมารดาบิดานั้น อย่านิ่งนอนใจหรืออย่าปล่อยปละละโอกาส ในเมื่อได้เห็นความบกพร่องเสื่อมเสียของศิษย์หรือของบุตรธิดา จึงทําหน้าที่เป็นผู้ว่ากล่าว เป็นผู้คอยพร่ำสอน และคอยกีดกันหักห้ามจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ก็การโอวาทหรือการอนุสาสก์นั้นต้องชี้ให้เห็นโทษของอกุศลธรรม และให้เห็นอานิสงส์ของกุศลธรรมด้วยโอวาทหรืออนุสาสก์นั้น จึงจักได้ผลสมความประสงค์ ไม่ใช่แต่เพียงว่าเอา ๆ หรือดุด่าโดยถือว่าตนเป็นผู้ใหญ่กว่า หรือมีอํานาจเหนือกว่า โอวาทหรืออนุสาสก์ที่ไม่ได้ผลตรงกันข้ามกลับเป็นโทษก่อให้เกิดศัตรูนั้น ก็เพราะปราศจากเหตุผลและปราศจากธรรม คือเอาแต่อํานาจหรืออารมณ์ของตนเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น โอวาทหรืออนุสาสก์นั้น จึงจักต้องประกอบด้วยธรรม สมดังที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสอนภิกษุทั้งหลายในบาทที่สองว่า และจงห้ามจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ดังนี้
อกุศลธรรมนั้น เป็นตัวการเป็นสมุฏฐานให้คนทําผิดหรือประพฤติสิ่งที่ไม่สมควร แต่โดยมากผู้กระทําผิดนั้นมองไม่เห็นหรือที่เรียกว่าไม่รู้สึกตัว ก็อกุศลธรรมเมื่อว่าโดยต้นเค้าได้แก่อกุศลจิต ๑๒ ดวง พร้อมทั้งสัมปยุตธรรมทั้งหลายที่เกิดร่วมกัน ในอกุศลจิต ๑๒ ดวงนั้น มีโลภะเป็นสมุฏฐาน ๘ ดวง มีโทสะเป็นสมุฏฐาน ๒ ดวง มีโมหะเป็นสมุฏฐาน ๒ ดวง โดยนัยนี้จะเห็นว่า อกุศลธรรมโดยย่อได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ ๓ ประการเท่านั้น คนที่ประพฤติตนนอกลู่นอกรอย หรือนอกธรรมนอกวินัย อันเป็นเหตุนําความเสียหายมาสู่สังคม หรือก่อกวนสังคมให้เดือดร้อนนั้น ก็เพราะลุอํานาจแก่ โลภะ โทสะ โมหะ นั้นเอง ดังนั้น ถ้าผู้โอวาทผู้อนุสาสก์สามารถว่ากล่าวสั่งสอนโดยแนะนําให้รู้จักหักห้ามใจจากอกุศลธรรม คือ โลภะ โทสะ โมหะ โอวาทและอนุสาสก์นั้น ก็จะมีคุณค่าหรือสําเร็จผลสมความมุ่งหมาย ยกเว้นจําพวกมีสันดานชั่วมาแต่กําเนิดเท่านั้น ก็การที่จะหักห้ามใจจากอกุศลธรรมได้นั้น ก็จักต้องแนะนําให้วางจิตใจไว้ในกุศลธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่ออกุศลธรรมนั้น กุศลธรรมโดยย่อก็ได้แก่ อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือเรียกอย่างไทย ๆ ว่า ความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง ทั้งนี้โดยชี้ให้เห็นโทษของอกุศลธรรม และอานิสงส์ของกุศลธรรมเป็นเบื้องต้น ครั้นแล้ว ก็โน้มน้าวใจให้ไหลเอียงไปหาทางที่จะไม่ก่อกวนให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เช่นแนะนําพร่ำสอนให้เห็นคุณของความสันโดษ พอใจตามฐานะและวิสัยของตน อันเป็นส่วนแห่งความไม่โลภ แนะนําพร่ำสอนให้เห็นคุณของความเมตตา ความกรุณา และความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งโลก ไม่เลือกชาติ ศาสนา และชั้นวรรณะแต่ประการใด อันเป็นส่วนแห่งความไม่โกรธ แนะนําพร่ำสอนให้เห็นคุณของความรู้เท่าทันต่อสิ่งที่เป็นมารยา เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือการละเล่นทั้งปวงในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งมารยา ไม่มีสาระอยู่ข้างใน ถ้าผู้รู้ไม่เท่า เอาไว้ ไม่ทัน สิ่งที่เป็นมารยานั้นๆ ก็จะหลอกลวงให้ประสบทุกข์อย่างแสนสาหัส นี้เป็นส่วนแห่งความไม่หลง เมื่อจิตใจกลับมาตั้งอยู่ในฝ่ายกุศลธรรมเช่นนี้แล้ว ก็จะมองเห็นโทษของความประพฤติไม่ดี เห็นคุณของความประพฤติดี เมื่อนั้นจึงจักสามารถกลับใจจากผิดมาสู่ถูก จากชั่วมาสู่ดีได้ สมดังความมุ่งหมาย ฉะนี้
เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดา จะทรงแสดงถึงผลได้ผลเสียสอนภิกษุทั้งหลาย จึงตรัสพระคาถาบทสุดท้ายว่า เพราะผู้โอวาทผู้อนุสาสก์นั้น ย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย จะไม่เป็นที่รักก็แต่พวกอสัตบุรุษเท่านั้น ดังนี้ ซึ่งหมายความว่า สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสอนให้ถือคนดีที่เรียกสัตบุรุษมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเป็นมาตรฐาน การทําดีทําถูกนั้นคนดีย่อมรักใคร่สรรเสริญ ส่วนคนที่ไม่ดีที่เรียกว่าอสัตบุรุษ ได้แก่คนไม่ถือศีลถือธรรม หลงติดอยู่ในโลก มุ่งเห็นแต่แก่ได้อามิษ เช่นพวกภิกษุอัสสชิ และปุนัพพสุกะนั้น ไม่ให้ถือเป็นมาตรฐาน คนประเภทที่ไม่รู้จักศีลธรรม มุ่งแต่แก่ได้อามิษเป็นส่วนตน เพราะความโลภ โกรธ หลง นั้น ย่อมใช้หอกคือปากทิ่มแทงเป็นอาวุธเป็นธรรมดา ไม่ควรจะนํามาเป็นเครื่องกีดกั้นกันไม่ให้ทําความดี คือการโอวาท การอนุสาสก์ แนะนําพร่ำสอนศิษย์ทั้งหลายด้วยประการ ฉะนี้.
แสดงพระธรรมเทศนาในเรื่องพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ นับว่าพอเป็นเครื่องโสดสรงองคศรัทธา และสมควรแก่กาลเวลา ขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
( ๕ มิ.ย. ๒๕๐๕ เวลา ๒๐.๕๐ น. ) |