ไขปัญหาธรรมบนเว็บบอร์ด

ประวัติความเป็นมา

 

 

ก่อนที่จะมาเป็น "วัดป่าสุธัมมาราม "


        

 

                เมื่อปีพุทธศักราช 2549 คุณสุเมธ ยุบลบัณฑิตกุล พร้อมด้วยครอบครัวที่สมบูรณ์ มีคุณพ่อ คุณแม่ ภรรยาและบุตรธิดา พร้อมทั้งหมู่ญาติผู้ใหญ่ พี่น้องและมิตรสนิท ได้ร่วมกับแม่ชี นางสาวสุปราณี ไพศาขมาศ ซึ่งเป็นน้าสาวของคุณสุเมธ ได้ร่วมกันบริจาคที่ดินจำนวน 10 ไร่ ซึ่งอยู่ที่บริเวณหมู่บ้านหนองกลางเนิน ตำบลบ้านใหม่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี 

                ที่ดินผืนนี้อยู่ไม่ไกลจากตลาดท่าม่วงมากนัก ประมาณเกือบ 24 กิโลเมตรจากหน้าโรงพยาบาลท่าม่วง ผ่านตลาดท่าม่วง ตรงไปตามถนนสายเก่า ถึงแยกบ้านใหม่เลี้ยวขวา มุ่งตรงไปตามถนนสายบ้านใหม่-หนองตากยา ระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางที่จะไปยัง “สถานปฏิบัติธรรมวัดป่าสุธัมมาราม” เป็นระยะๆ เพื่อกันการหลงทาง เมื่อข้ามคลองชลประทานจะเห็นป้ายบอกระยะทางปักอยู่ทางซ้ายมืออีกครั้ง จากนั้นมุ่งตรงไปตามทางหลัก ผ่านป้ายหมู่บ้านต่างๆ จนถึงหมู่บ้านหนองน้ำขุ่น ซึ่งเป็นหมู่บ้านก่อนถึงบ้านหนองกลางเนิน เดินทางต่อไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ต่อเมื่อผ่านพ้นสวนเพาะพันธุ์ไม้เพื่อจำหน่ายของสวนนงนุชจนสุดเขตสวน จะเห็นป้ายบอกระยะสุดท้าย 500 เมตรก่อนถึง “สถานปฏิบัติธรรมวัดป่าสุธัมมาราม” กรุณาชะลอความเร็ว เดินทางต่อมาเรื่อยๆ จะเห็นแทงค์น้ำสีน้ำเงินของหมู่บ้านหนองกลางเนิน ก่อนถึงแทงค์น้ำจะมีสี่แยกเล็กๆ ฝั่งซ้ายเป็นทางเข้าหมู่บ้านหนองกลางเนิน ฝั่งขวาเป็นทางเข้าสู่สถานปฏิบัติธรรมวัดป่าสุธัมมาราม เป็นถนนลาดยาง มีสวนพันธุ์ไม้ต่างๆ อยู่บริเวณส่วนหน้าเพื่อกรองอากาศและพักผ่อนทั่วไป พร้อมทั้งพืชผลเพื่อให้บรรดาหมู่สัตว์ได้พักอาศัยและเลี้ยงดูชีวิต วิ่งตรงตามเส้นทางเข้ามาจะเห็นโรงอัดอิฐ ที่พักอาศัยสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมฝ่ายหญิง เลยจากด้านหน้ามาระยะประมาณ 200 เมตรก็จะถึงลานกว้าง มีศาลาอเนกประสงค์อยู่ขวามือ เมื่อจอดยานพาหนะเรียบร้อยแล้ว จะมีทางแยกซ้ายและขวาเพื่อเดินชมสถานที่ อาจจะมีความไม่สะดวกเนื่องจากมีการก่อสร้างปรับปรุงสถานที่พอประมาณจนกว่าจะแล้วเสร็จ คาดว่าประมาณไม่เกินปีพุทธศักราช 2560 ซึ่งรวมระยะเวลาที่วางโครงการไว้ประมาณ 12 ปี 

                ความเป็นมาก่อนหน้านั้น คุณสุเมธได้มีศรัทธาต่อพระศาสนาอย่างแก่กล้า ได้สละทรัพย์เพื่อจัดให้มีการอบรมกัมมัฏฐานในจังหวัดกาญจนบุรี  โดยได้เข้าไปพัฒนาสถานที่ที่ขาดการดูแลของวัดเทวธรรม ซึ่งอยู่ลึกจากถนนใหญ่พอประมาณ จัดการอบรมได้ประมาณ 3 ครั้งก็มีผู้ศรัทธาบริจาคทรัพย์บูรณะศาลาหลังนั้นให้งดงาม ทำให้การจัดอบรมกัมมัฏฐานต้องเป็นอันหยุดพักไป เพราะทางวัดเห็นความเจริญของวัตถุสำคัญกว่าความเจริญของพระธรรมที่จะกอปรก่อในจิตใจของมวลมหาชน 

                ในช่วงนั้นหลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่บ้านทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ รับนิมนต์จากคุณสุเมธให้มาอบรมกัมมัฏฐานที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยคุณสุเมธได้ถวายบัตรโดยสารเดินทางไปกลับด้วยเครื่องบิน มีครอบครัวคุณน้อย คุณหมูที่จังหวัดเชียงใหม่เดินทางไปรับ ถวายอาหารเสร็จแล้วส่งขึ้นเครื่อง วันเดินทางกลับก็รับจากสนามบินแล้วไปส่งบนดอยที่อำเภอเชียงดาว

                เมื่อถึงกรุงเทพก็มีคุณประสิทธิพงษ์และคุณทิพย์เดินทางไปรับจากสนามบินดอนเมืองมาส่งที่ท่าม่วง กาญจนบุรี ส่วนวันจะกลับจากท่าม่วงขึ้นเชียงใหม่ก็แล้วแต่ว่ามีใครปรารถนาจะพาไปส่งที่สนามบิน ทำอย่างนี้อยู่พักใหญ่ๆ จนที่สุดหลวงพ่อก็ตัดสินใจรับนิมนต์จำพรรษาอยู่ที่ท่าม่วง กาญจนบุรี โดยในระหว่างนั้นคุณสุเมธและแม่ชีสุปราณีได้ขอให้รับที่ดินผืนนี้เข้าไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อที่จะได้พัฒนาให้เป็นสถานปฏิบัติธรรม และที่สุดหลวงพ่อก็รับภาระนี้มา โดยคุณสุเมธได้ถวายเงินจำนวนสองแสนบาทไว้เป็นทุนในเบื้องต้น พร้อมกันนี้บรรดาลูกศิษย์และญาติธรรมทั้งหลายก็ได้ร่วมใจกันสร้าง “วัดป่าสุธัมมาราม” ด้วยกุฏิประวัติศาสตร์สามหลังนี้เป็นที่จำพรรษา และเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมประวัติศาสตร์เช่นกัน

                ในระหว่างจำพรรษาเมื่อปีพุทธศักราช 2549 ก็ได้พนักงานของแสงทองอิเล็กทรอนิกส์ของคุณสุเมธมาร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาสถานที่ ทั้งไฟฟ้า ประปา และศาลาหลังแรก

                ต้นปีพุทธศักราช 2550 สามารถสร้างกุฏิสองหลังนี้เสร็จ เป็นกุฏิของแม่ชีสุปราณี ผู้ซึ่งถูกบังคับให้รับหน้าที่เป็นเจ้าสำนัก และจะสละตำแหน่งได้ก็ต่อเมื่อมีผู้มาสืบทอดต่อ

                และที่สุดในปัจจุบัน “วัดป่าสุธัมมาราม” ก็เสร็จไปแล้วสามส่วน ที่เหลือก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ มั่นคง คือศาลาแปดเหลี่ยมกลางน้ำที่จะใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับยุคที่สอง และที่สุดก็สถูปที่ได้ทำแบบจำลองมาจากธัมเมกสถูป จะเป็นสถานปฏิบัติธรรมสำหรับยุคที่สาม ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ก้าวไปด้วยความมั่นใจและมั่นคง