ที่กล้าใช้สมญานามว่า "พุทธวจน" ก็อาจเอื้อมมากแล้วนะ ยังมีคำถามที่เป็นเหมือนคนไร้สติ ขาดความรับผิดชอบ เอาแค่ได้แสดงในที่สาธารณะก็เป็นว่าสะใจแล้ว น่าสงสารยิ่งนัก
มีมากที่กล่าวอ้างว่าเป็น พุทธวจน ทั้งอ้างเป็น พระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งมาเกิดบ้าง มาเข้าทรงบ้าง ทั้งหลายทั้งมวลก็เพราะ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ถึงหลักธรรมคำสอนจริงๆ และที่สำคัญ พระพุทธองค์ผู้เป็นบรมครู พุทธศาสดา ได้ให้สติไว้อย่างชัดเจนว่า การกล่าวสิ่งใด ในที่ใดๆ ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะกล่าวอ้างว่าเป็นคำของพระองค์ เรียนรู้อะไร เข้าใจมาอย่างไร ก็แสดงตัวตนของตนเอง การกล่าวว่าได้เรียนจากใครใช่ว่าจะถูกทั้งหมด ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เรียนมาทั้งหมด เพราะที่กล่าวออกมานั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการร่ำเรียน และส่วนใหญ่เป็นความเข้าใจเฉพาะตน การแสดงตนของหลวงตา จึงเป็นการบอกกล่าวว่า เรียนรู้มา แล้วได้ทดลองปฏิบัติตามในสิ่งที่เรียนรู้ ทำการแก้ไขในสิ่งที่เข้าใจผิด และทดลองให้เกิดผล ทดสอบว่าไม่เป็นภัย เป็นการเดินในทางสายถูก ตามหลักวิทยาศาสตร์ เฝ้าดู วิเคราะห์ สรุปผล แล้วจึงนำมาบอกต่อ สนใจหรือไม่สนใจขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคล ที่ได้ผลก็เพราะบุคคลนั้นสามารถนำไปต่อยอด ด้วยมีหลักเดียวกัน ที่ไม่ได้ผล ก็เพราะบุคคลนั้น ไม่ได้เดินในหลักเดียวกัน ก็เท่านี้
และขอชี้จุดเล็กๆ ที่ไม่มีใครใส่ใจสนใจนำมาเป็นฐานในการวิเคราะห์ ตามเนื้อหาน้อยๆ นี้
มีคนพยายามมากในการที่จะตอบโต้เรื่องธรรมมะ แต่ธรรมมะนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ พระพุทธองค์ผู้ทรงตรัสรู้ ไม่ได้บอกว่าพระองค์เป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆ การตรัสรู้นั้น เป็นเพียงการเข้าไปเห็นในสิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นอยู่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถก้าวล่วงเข้าไปรู้ได้
พระองค์จึงนำสิ่งที่ตรัสรู้ คือเข้าไปล่วงรู้ได้ด้วยความเพียรอย่างยิ่งในทุกรูปแบบจวบจน "มรรคสมังคี" คือมีความพร้อมในทุกทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย จิตใจ สติ และอารมณ์ ถ้าได้อ่านประวัติของพระองค์ที่มีการนำเผยแพร่กันมานานนับได้ไม่น้อยกว่า สองพันห้าร้อยปี และรู้จักสังเกตุ ไม่งมงาย เป็นนักคิด เป็นนักวิเคราะห์ ก็จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่เริ่มต้น ของคำสอน อันรวมถึงประว้ติต่างๆ ล้วนเป็น "วิทยา" คือเป็นหลักวิทยาศาสตร์ล้วนๆ หลักวิทยาศาสตร์มีกฎง่ายๆ เฝ้าดู วิเคราะห์ ติดตามผล ซึ่งผู้ที่ไม่งมงาย สามารถทำตามได้อย่างแท้จริง งมงายในที่นี้มีทั้งสองทาง คือสุดโต่งไปทางหลงเชื่อเสียจนไม่รับรู้อะไรที่เป็นเรื่องที่เป็นจริง และสุดโต่งไปทางไม่เชื่อเสียจนไม่รับรู้อะไรที่เป็นเรื่องเป็นจริง
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ผู้ที่มีความคิดเห็นแบบนักวิทยาศาสตร์ คือมีความคิดที่เปิดกว้าง มีสติ เป็นตัวของตัวเอง ไม่งมงาย ไม่ปิดกั้น เดินสายกลาง ยอมรับในสิ่งต่างๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ ทดลอง แล้วติดตามผล ก็จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จได้
ที่ยกตัวอย่างพุทธประวัตินั้น เป็นจุดที่ทำให้เราเข้าใจอะไรอะไรได้มากทีเดียว เริ่มแต่ได้เดินทางออกจากหมู่พวกพ้องที่เฝ้าติดตาม คือกลุ่มผู้คงแก่เรียนทั้งห้า ได้ใช้ความคิดทบทวนด้วยตัวของตัวเอง ได้ทดลองทำในสิ่งต่างๆ ที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบเก่าๆ ที่สุดก็ได้นั่งพักในที่อันรื่นรมณ์ เป็นร่มไม้ใหญ่ อยู่ใกล้น้ำ พักไปวิเคราะห์ไป ทั้งหลับตาและไม่หลับตา อารมณ์ก็แจ่มใส ลืมตามาก็มีคนเอาข้าวมาให้กิน ที่ยิ่งกว่านั้น ยังเล่าเรื่องประสบการณ์ที่ดีๆ อันเกี่ยวกับใต้ร่มไม้แห่นนั้น ผู้ที่มานั้นก็แสนจะสุภาพอ่อนน้อม มีความเคารพศรัทธา กล่าวแต่มธุรสวาจา กล่าวให้กำลังใจ และมีความเชื่อมันในผู้รับฟัง ทุกสิ่งล้วนเป็นกำลังทั้งสิ้น เมื่อกินอิ่มด้วยอาหารอันเลิศถึงสี่สิบเก้าคำ (ลองสมมุติว่าเป็นข้าวอันเลิศรสแบบโบราณของชนเผ่าที่อยู่ในชมพูทวีป ซึ่งมีทั้งข้าว เครื่องปรุงรสอันโอชะ ประกอบด้วยนมและผักที่ปรุงเข้ากันอย่างเลิศ) สี่สิบเก้าคำ ถ้าเป็นปัจจุบัน ก็ประมาณว่า สี่สิบเก้าช้อน น่าจะอิ่มแป้แล้วนะ
หลังจากอิ่มอาหารแล้ว เดินคิดอะไรเพลินๆ ก็สรุปว่าต้องไปอาบน้ำ โกนหนวดเครา จัดการผมเผ้าที่รุงรัง ซักผ้าที่ส่งกลิ่นอันไม่น่ารื่นรมณ์ ที่รู้ว่าไม่นารื่นรมณ์ ก็เพราะว่าก่อนหน้านั้นไม่ได้สนใจใส่ใจเพราะอารมณ์มันหมกมุ่นจึงชินชา ต่อเมื่ออารมณ์ดี ความชินชาก็เปลี่ยนมาสู่ความเป็นปกติ จึงรับรู้ถึงสิ่งรอบข้างได้มากขึ้น ความเป็นจริงก็ปรากฎ เมื่อยอมรับความเป็นจริง ก็มองเห็นข้อบกพร่องทั้งหลายแหล่ จัดการแก้ไขไปตามสภาพ ไม่ต้องปรุงแต่ง แล้วก็ตั้งมั่นพร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับตนเองด้วยการอธิษฐาน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะขณะนั้นยังไม่ได้ตรัสรู้
เพราะมีความพร้อมในทุกด้านมาแล้ว เมื่อเปลี่ยนสภาพต่างๆ ของตนเองและสิ่งรอบกาย จิตก็พร้อม มรรคทั้งหลายก็สามัคคีเป็นพลัง ด้วยเหตุแห่งจิตที่ไม่หมกมุ่นไม่ยึดมั่น ตั้งเอาไว้แล้วว่า ตายเป็นตาย ถ้าไม่ได้ก็ไม่ลุกขึ้นจากที่นี้ ความห่วง ความอาลัย และที่สำคัญความยึดทั้งหลายที่ขาดสบั่นไป จิตที่เคยมีนิวรณ์ฉุดรั้งก็คลายออก ปล่อยให้เป็นไปตามกำลังของธรรมชาติที่มีในตัว ความสำเร็จก็เกิดขึ้น ด้วยเพราะ
"จิตเป็นพลังงานรูปหนึ่ง มีอำนาจ สร้างรูปได้ ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำ"
|