ได้อ่านบทความที่คุณสังคมยกมาให้อ่านในที่นี้ ยินดีมากที่ได้ช่วยกันทำความกระจ่างให้ผู้ใฝ่ศึกษาได้เพิ่มพูนปัญญากัน ขออนุโมทนากับจิตใจอันดีงาม
"จิตเป็นพลังงานรูปหนึ่ง มีอำนาจ สร้างรูปได้ ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำ"
ดังที่ได้ตอบคำถามของท่านผู้หนึ่งที่ถามไว้ในบอร์ดถามตอบ ว่า เท่าที่ศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้าที่เกี่ยวกับ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญานบ้าง ผู้ถามมีความเข้าใจว่า ทั้งสามคือ จิต มโน วิญญาณ ก็คือสิ่งเดียวกัน โดยยกตัวอย่างพุทธพจน์ในเรื่องนี้ว่า พระองค์ยกตัวอย่างเรื่องลิงฯ
เพื่อความกระจ่างโดยไม่ต้องตีความให้ยากมันจะผิดความเป็นจริงที่พระองค์ได้ยกตัวอย่างเรื่องลิง ก็เพราะชาวบ้านเห็นลิงห้อยโหนโจนทะยานอยู่ทุกวี่วัน คนยุคนั้นเข้าใจเรื่องธรรมชาติมากกว่าคนยุคนี้
มองที่ลิงใหญ่ก็คงไม่เห็นอะไรชัดเจน ถ้ามองที่ลิงเล็ก ลูกลิง ก็จะเห็นชัดเจนขึ้น ลูกลิงได้เห็น เห็นว่าการห้อยโหนโจนทะยานนั้นต้องทำอย่างไร ได้ยิน ได้ยินเสียงสั่งสอนของบรรดาผู้ใหญ่ว่า ต้องเกาะไม้ชนิดไหน ไม้เล็กไม้ใญ่ ไม้สดไม้แห้ง เสียงลั่นของไม่มันต่างกัน ได้กลิ่น เกาะแม่อยู่นานกลิ่นต่างๆก็รับรู้พอสมควร กลิ่นความสุขกลิ่นความทุกข์กลิ่นอันตรายล้วนพอมีประสพการณ์มาบ้าง ได้รส อาหารรสชาดที่หอมหวานน่ากินน่าเสพมันเป็นอย่างไรอยู่ที่ไหนรู้แล้ว ได้สัมผัส เย็นร้อนอ่อนแข็ง เจ็บไม่เจ็บฯ ล้วนได้สัมผัสมาบ้างทางร่างกายที่มีปลายประสาทรับรู้อยู่ทั่วไปหมด ทั้งทางตาคือจักษุวิญญาณ ทั้งทางหูคือโสตวิญญาณ ฯ
จึงพอจะเข้าใจได้ตามความเป็นวิทยาว่า วิญญาณที่กล่าวถึงนี้คือ ปลายประสาทสัมผัสทั้วทั้งร่างกาย แล้วส่งไปที่สมองอันเป็นศูนย์รวมของการรับรู้ทั้งหมด สมองไม่ได้ทำหน้าที่รับรู้อย่างเดียว มันยังทำหน้าที่รวบรวมประมวลสิ่งที่รับรู้ทั้งหมดมาทำการวิเคราะห์แล้วแยกแยะบันทึกจำไว้ ทั้งหมดนี้คือใจ คือส่วนสมองทั้งหมดที่มีหน้าที่ คิดจำเปรียบเทียบและบันทึกไว้ในส่วนต่างๆ ใจ หรือจะเรียกทางสรีระก็คือสมอง จึงไม่เคยหลับ มันทำหน้าที่ทั้งวันทั้งคืน เรารู้กันในภาษาธัมมว่า "มโน" มันเป็นศูนย์กลาง มันไม่ได้อยู่เฉย มันเป็นผู้รับรู้ เป็นผู้ประมวลองค์ความรู้ทั้งหมดที่กายหลังนี้เรียนรู้มา ดั่งพุทธสอน "อาศัยกายเป็นที่เรียนรู้" เมื่อไรที่มันสั่งการ มันสั่งการเป็นรูปของพลังงาน แปรเปลี่ยนสสารทั้งหลายทั่วทั้งกายให้ไปบังคับปลายประสาททั้งหมดทำงาน
ตัวอย่างเช่นคนที่โกรธ หน้าจะเข้ม ตากร้าว ปากเม้ม จมูกตึง หูผึ่ง กายตึงเครียด แสดงออกทั้ง กาย วาจา ใจ พลังงานที่ปรากฏนี้เรียกทางธัมมว่า จิต การแสดงออกทั้งหมดก็คือพลังของจิต จิดดีก็แสดงดี จิตไม่ดีก็แสดงไม่ดี จึงเรียกกันอีกอย่างว่า พลังจิตบ้าง จิตานุภาพ อำนาจจิต เป็นต้น
หวังว่าคงเข้าใจเรื่อง จิต กับ ใจ ว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไรในเชิง วิทยา คำสอนของ พุทธ เป็นวิทยา ไม่ใช่เชื่ออย่างงมงาย เชื่อเพราะเป็นครู พุทธ ไม่บังคับให้เชื่อ แต่จะบอกว่า อย่าเชื่อจนกว่าจะพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ความรู้ ความสามารถ สติปัญญา องค์รู้ทั้งหลาย ล้วนมีคุณค่าทั้งสิ้น ผู้ศึกษาสมควรนำเอาองค์รู้ทั้งหลายมาวิเคราะห์ วิจารณ์ เพื่อเพิ่มพูนปัญญาให้แก่ตน อย่างมงาย อย่าเชื่อ จนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตนเอง
เคยเขียนไว้ คำสอนของพระพุทธสาสดาเป็นวิทยาศาสตร์ เทียบเอาจากการศึกษาวิทยาศาสตร์ในยุคนี้ ลองเข้าไปอ่านดู และ บทความนี้ คงพอจะขยายความของ สี่วลีที่หลวงตาสอนมานาน จนมีคนนำไปบอกต่อสอนต่อ ถูกบ้างผิดบ้าง ก็ขึ้นกับปัญญาของผู้นำไปถ่ายทอดบอกต่อ
"จิตเป็นพลังงานรูปหนึ่ง มีอำนาจ สร้างรูปได้ ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำ"
บุญรักษา
หลวงตากิตติญาโณ
|