มีบุญเป็นใหญ่ เป็นอธิการ

คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อและตีความไปตามกิเลสตน เข้าใจว่า " นิทานธัมมะ " เป็นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อหลอกล่อให้คนหลงเชื่อ

 

คำว่า " นิทาน " ตามบาลีแล้วคือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง คนมีบุญ หรือเรียกว่าคนมีบุญญาธิการ แปลว่า " มีบุญเป็นใหญ่ เป็นอธิการ " คือเป็นนายเป็นหัวหน้าเหนือเรื่องอื่นใด จิตปรารถนาจะทำบุญก็ได้ทำบุญจนสำเร็จ ปรารถนาจะทำทาน ทานก็มีมาให้ทำ และทำได้สำเร็จตามปรารถนา

 

ในพุทธกาลของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคตร ก็มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น

 

ครั้งนั้นพราหมณ์ผู้เป็นลุงของท่านสารีบุตรได้รับเชิญให้ไปทำพีธีทางพราหมณ์ได้รับไทยทานมา ดำริว่าอยากจะทำกุศลกับพระอรหันต์ผู้เป็นหลานชาย เธอเฝ้ารออยู่หลายเพลาพระสารีบุตรผู้เคยมาเยี่ยมเยือนเป็นประจำก็ไม่มา ครั้นไทยทานที่ได้รับมาหมดไปแล้ว ไม่มีใครเชิญไปแล้ว พระสารีบุตรท่านก็มาเยี่ยมเยือนเป็นปกติ พราหมณ์ผู้เป็นลุงจึงตรึกกับตนเองว่า " ทานมีก็ไม่มีพระ พระมาก็ไม่มีทาน เราช่างบุญน้อยยิ่งนัก " ตรึกดั่งนี้แล้วก็เศร้าหมองจิตและกายใจก็หมองหม่นสิ้นราศี พระสารีบุตรเห็นเช่นนั้นก็เพ่งมองถึงสาเหตุปลอบประโลมแล้วก็ลากลับไป

 

ไม่นานต่อมาพราหมณ์ก็ได้รับเชิญไปทำพิธีกรรม มีไทยทานมากมาย ดำริว่าวันนี้เราจะขอสร้างกุศลใหญ่ด้วยการถวายทานที่ได้รับมาจนหมดแด่พระอรหันต์หลานชาย ดำริเช่นนั้นแล้วก็เดินทางกลับที่พำนักด้วยจิตที่เบิกบาน

 

ครั้นกลับถึงบ้านพบท่านสารีบุตรรออยู่จึงเอ่ยด้วยความปีติยินดีเปรมปรีดิ์ยิ่งนักคุกเข่าลงอังคาสถวายทานทั้งหมดแด่ท่านพระสารีบุตร

 

ท่านพระสารีบุตรเห็นดังนั้นจึงน้อมลงรับแล้วกล่าวว่า “ เราขอรับไว้เพียงครึ่งเดียว “ พรามหณ์ผู้เป็นลุงจึงกล่าวว่า ขอท่านพระสารีบุตรอย่าได้ทำให้ข้าพเจ้าบุญน้อยเลย พระมาทานก็ไม่มี ทานมีก็ไม่มีพระ วันนี้มีทั้งพระและมีทั้งทานพร้อม ขอข้าพเจ้าได้สร้างกุศลใหญ่สมดั่งที่ตั้งใจไว้ ขอท่านพระสารีบุตรได้โปรดเมตตาทำให้ข้าพเจ้าสมปรารถนาด้วยเถิด

 

เห็นดังนั้นแล้วท่านพระสารีบุตรจึงตั้งจิตรับทานที่พรามหณ์ลุงอังคาสถวายให้แล้วให้พรว่า

" อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ "

 

ท่านพรามหณ์ปลื้มปีติยิ่งนัก ทำจิตเป็นสมาธิยิ่งน้อมส่งท่านสารีบุตรกลับแล้ว อยู่ในสมาบัติจนละสังขาร แล้วได้ไปเกิดในครรภ์ภริยาเศรษฐี เธอดลจิตให้ภริยาท่านเศรษฐีมีจิตฝักใฝ่สร้างกุศล นิมนต์ท่านพระสารีบุตรมาเทศนาธัมมและถวายทานเป็นประจำ ครั้นได้เกิดเป็นบุตรเศรษฐีก็ยังคงได้ฟังธัมมเทศนาและสร้างทานแด่ท่านพระสารีบุตรเป็นประจำ ฯลฯ

 

ท่านทั้งหลาย ขอท่านอย่าได้ทำตนเองให้เป็นคนบุญน้อยเลย จงหมั่นเพียรสร้างบุญทานการกุศลเป็นประจำ จงทำด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ละกิเลสเสียก่อนจึงค่อยสวดมนต์ไหว้พระสร้างกุศล อย่าเอากิเลสติดตัวไว้ในยามที่จะทำกุศลใดๆ จงละให้จิตผ่องแผ้วปีติท่วมท้นแล้วสร้างกุศล จะได้ผลบุญมากยิ่งดั่งเช่นพรามหณ์ผู้เป็นลุงของท่านสารีบุตร

 

การดับแล้วเกิดใหม่ในภพที่ดีกว่า หลวงตาสอนไว้แล้ว ใช่ว่าต้องตายเพราะกายแตกจึงจะเรียกว่าดับ แต่เป็นการดับภพชาติที่มีอยู่ในเราให้หมดสิ้นไป เมื่อจิตที่เกิดใหม่ในร่างเดิมนี้แหละผ่องแผ้วละอกุศลจิตให้เบาบางแล้ว ย่อมเปลี่ยนภพให้ดีได้ ดั่งที่ได้สอนไว้แล้ว " เกิดขึ้น เรียนรู้ ตั้งอยู่ ถ่ายทอด ดับไป " เป็นเช่นนี้สันตติต่อเนื่องจนผ่องแผ้ว ย่อมประสพพบทางสว่างแน่นอน จิตรับรู้อารมณ์ใจวินิจฉัยตัดสินคัดเลือกแล้วสั่งการ ถ้าไม่ลงมือพากเพียรแล้วจะรู้จักหรือ เอวังฯ

บุญรักษา