เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:พระมหากัปปินะเถระ กัณฑ์ที่ ๑

พระธรรมบทเทศนา

พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา

(๔)เรื่องพระมหากัปปินะเถระ [๖๓]

กัณฑ์ที่ ๑

-----------------------------------------

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส

ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา

อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโตติ

 

บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนาเรื่องพระมหากัปปินะเถระอันมีมาในคัมภีร์อรรถกถาพระธรรมบท ขุททกนิกาย ปัณฑิตวรรคแห่งสุตตันตปิฎก นับเป็นลําดับเรื่องที่ ๖๓ เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธี ส่วนธรรมสวนมัย สืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า -

 

สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต - สมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จประทับพระอิริยาบถ อยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลาย โดยทรงปรารภพระมหากัปปินะเถระให้เป็นอุปบัติเหตุ มีเรื่องเล่าต่อๆ มาโดยลําดับดังนี้

 

อตีเต กิรายสมา มหากปฺปิโน - ดังได้ยินมา ท่านผู้มีอายุมหากัปปินะนั้น ในอดีตกาลปางหลัง เคยได้สร้างบุญญาภินิหารไว้ในศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปทุมุตตระ เมื่อท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสังสารวัฏ ครั้งหนึ่งได้บังเกิดเป็นนายช่างหูกชั้นหัวหน้า ในบ้านนายช่างหูกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่สู้จะห่างไกลจากเมืองพาราณสี ตทา กาเล ในสมัยกาลครั้งนั้นได้มีพระปัจเจกพุทธเจ้า จํานวน ๑,๐๐๐ องค์ ตามปกติในปีหนึ่งท่านไปพักอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ๘ เดือน มาพักอาศัยอยู่ตามชนบท ๔ เดือนภายในฤดูฝน ในวาระครั้งหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ลงจากป่าหิมพานต์จะมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งไม่ห่างไกลจากเมืองพาราณสี จึงจัดส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า จํานวน ๘ องค์ ไปสู่พระราชสํานักเพื่อทูลขอพระบรมราชูปถัมภ์ว่า ท่านทั้งหลายจงทูลขอหัตถกรรมต่อพระราชา เพื่อทรงพระมหากรุณาโปรดให้สร้างเสนาสนะที่อยู่ที่อาศัย ก็บังเอิญครั้งนั้น เป็นเวลามีงานพระราชพิธีวัปปมงคลแรกนาขวัญพอดี ดังนั้น พระราชาเมื่อได้ทรงทราบว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ามาเฝ้าจึงเสด็จออกมาทรงปฏิสันถาร แล้วตรัสถามถึงเหตุที่มาเฝ้า ครั้นทรงทราบแล้วจึงมีพระราชดํารัสขอผัดว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย ! วันนี้ยังไม่มีโอกาส พรุ่งนี้เป็นวันพระราชพิธีวัปปมงคลแรกนาขวัญของหม่อมฉัน วันที่สามจึงจักได้สร้างถวาย ครั้งแล้วก็มิได้นิมมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าแต่อย่างใด เสด็จกลับเข้าไปเลย

 

ปวฺเจกพุทฺธ ปน - ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายตกลงใจว่า พวกเราจักไปอาศัยบ้านแห่งอื่นแล้วก็พากันหลีกจากที่นั้นไป ก็พอดีในขณะนั้น ภริยาของหัวหน้านายช่างหูกมีกรณียกิจบางอย่างไปเมืองพาราณสี จึงได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ไหว้แล้วเรียนถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย ไฉนพระผู้เป็นเจ้าจึงพากันมาผิดเวลาไปเจ้าข้า นางเป็นสุภาพสตรีที่มีศรัทธาถึงพร้อมด้วยปัญญา ครั้นได้ทราบพฤติการณ์ดังนั้น จําเดิมตั้งแต่แรกมาแล้ว จึงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายรับบิณฑบาตของอิฉันในวันพรุ่งนี้เจ้าข้า พระปัจเจกพุทธเจ้าพูดว่า " น้องหญิง พวกเรามากด้วยกัน ภริยาหัวหน้านายช่างหูกเรียนถามว่า จํานวนเท่าไรเจ้าข้า พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า จํานวนพันหนึ่งน้องหญิง ภริยาหัวหน้านายช่างหูกเรียนนิมนต์ยืนยันว่า " ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พวกอิฉันที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็มีจํานวนพันหนึ่ง แต่ละคนจักรับถวายบิณฑบาตแด่พระผู้เป็นเจ้าแต่ละองค์ ขอนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายรับบิณฑบาตเจ้าข้า และอิฉันจักให้สร้างที่อยู่ถวายพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายด้วยเจ้าข้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายตกลงรับนิมนต์สนองกุศลเจตนาของภริยาหัวหน้านายช่างหูก

 

สา คามํ ปวิสิตฺวา อุคฺโฆเสสิ - ฝ่ายภริยาหัวหน้านายช่างหูกกลับมาถึงบ้านแล้วก็โฆษณาประกาศแก่เพื่อนบ้านทั้งหลายว่า อิฉันได้ไปพบพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายจํานวนพันองค์ และได้นิมนต์ท่านรับบิณฑบาตด้วย เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายช่วยกันจัดอาสนะที่นั่งและตบแต่งอาหารบิณฑบาตถวายพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ครั้นแล้วได้ให้สร้างปะรําขึ้นที่กลางหมู่บ้าน แต่งตั้งปูลาดอาสนะไว้อย่างเรียบร้อย รุ่งขึ้นนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายนั่งอาสนะแล้วพากันอังคาสเลี้ยงดูด้วยโภชนะอาหารประณีตบรรจง ครั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ภริยาหัวหน้านายช่างหูก ได้พาพวกสตรีในหมู่บ้านนั้นทั้งหมดไปไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าพร้อมกัน แล้วขอรับคําปฏิญญาเพื่อขอให้ท่านอยู่จําพรรษาตลอดไตรมาสสามเดือน แล้วโฆษณาประกาศไปให้ทราบทั่วหมู่บ้านอีกว่า อมฺมตาตา แม่และพ่อมหาจำเริญทั้งหลาย ผู้ชายเรือนละคนจงเตรียมเอาเครื่องมือ เช่นมีดเป็นต้น เข้าป่าไปบรรทุกเอาทัพพะสัมภาระต่าง ๆ มาสร้างที่อยู่อาศัยถวายพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ฝ่ายชาวบ้านก็เอื้อเฟื้อเชื่อถือในข้อแนะของภริยาหัวหน้าช่างหูกนั้น คนหนึ่งๆ ก็รับสร้างหลังหนึ่งๆ สร้างบรรณศาลาขึ้นทั้งหมดจํานวนพันหลังพร้อมทั้งที่สําหรับพักผ่อนหย่อนใจในเวลากลางวันและกลางคืนด้วย แล้วต่างคนก็ต่างรับอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า เข้าอาศัยจําพรรษาในบรรณศาลาของตนๆ ต่างคนต่างก็ตั้งใจด้วยศรัทธาว่า จักอุปัฏฐากบํารุงด้วยความเคารพเป็นอันดี ครั้นเวลาเข้าพรรษาแล้ว ภริยาหัวหน้าช่างหูกชักชวนว่า ท่านทั้งหลายจงตระเตรียมผ้าสาฎกสำหรับทำจีวร ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายที่อยู่จําพรรษาในบรรณศาลาของตน ๆ แล้วก็ได้พากันถวายจีวรซึ่งมีมูลค่าผืนละพันแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ละหนึ่งผืน พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายครั้นออกพรรษาทําการอนุโมทนาแล้วก็อําลาหลีกไปยังป่าหิมพานต์ ฝ่ายชาวนายช่างหูกทั้งหลายเพราะพากันสร้างกุศลบุญกรรมครั้งนี้ ครั้นจุติตายจากชาตินั้นแล้วก็พากันไปบังเกิดเป็นคณะเทวบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสพิภพ ด้วยประการฉะนี้

 

เต ตตฺถ ทิพฺพสมฺปตฺตึ อนุภวิตฺวา - คณะเทพบุตรทั้งหลายเหล่านั้น พากันเสวยรมย์ชมทิพยสมบัติอยู่ ณ เมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงสพิภพนั้นตลอดกาลนาน ครั้งต่อมาในกาลพุทธศาสนาของสมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ลงมาบังเกิดในตระกูลกุฎมพีในเมืองพาราณสี หัวหน้านายช่างหูกบังเกิดเป็นบุตรของหัวหน้ากุฎมพี แม้ภริยาของหัวหน้าช่างหูกนั้น ก็บังเกิดเป็นธิดาของหัวหน้ากุฎมพีเหมือนกัน บรรดาธิดาแห่งกุฎมพีทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อเจริญวัยใหญ่ขึ้นเป็นสาวแล้วถึงคราวจะมีเหย้าเรือน ต่างก็ได้สมรสกับบรรดาบุตรของกุฎมพีด้วยกันหมดทั้งสิ้น ฉะนี้แล.

 

อเถกทิวสํ - อยู่มาวันหนึ่ง เขามีการโฆษณาประกาศการฟังพระธรรมเทศนาขึ้นในวัด กุฎมพีเหล่านั้นทุกคน ครั้นได้ทราบว่า สมเด็จพระบรมศาสดาจะทรงแสดงพระธรรมเทศนา ดังนั้น จึงพร้อมด้วยภริยาทั้งหลายพากันไปวัด ด้วยตั้งใจจักฟังพระธรรมเทศนา ก็ในขณะที่กุฎมพีสามีภริยาเหล่านั้นไปถึงกลางวัด พอดีฝนได้ตกเทลงมา กุฎมพีเหล่าใดที่มีภิกษุสามเณรผู้เข้าอาศัยตระกูลหรือผู้เป็นญาติอยู่ ก็พากันเข้าไปอาศัยบริเวณของภิกษุสามเณรเหล่านั้น ส่วนที่ไม่มีภิกษุสามเณรเช่นนั้น เมื่อไม่สามารถที่จะเข้าไปอาศัย ณ ที่ไหนๆ ก็จําต้องยืนตากฝนอยู่ที่กลางวัดนั่นแล ขณะนั้นหัวหน้ากุฎมพีพูดกับกุฎมพีทั้งหลายเหล่านั้นว่า พวกท่านทั้งหลาย สังเกตเห็นอาการอันประหลาดของพวกเราไหม ? ขึ้นชื่อว่ากุลบุตรแล้วควรจะละอายแก่ใจด้วยเหตุมีประมาณเพียงเท่านี้ พวกกุฏมพีบริวารเรียนถามว่า เราจะทําอย่างไรกันเล่านาย กุฎมพีหัวหน้าพูดชักชวนว่า " พวกเราถึงอาการอันประหลาดนั้น เพราะไม่มีสถานที่แห่งภิกษุสามเณรผู้คุ้นเคย ดังนั้นเราหมดทุกคนควรรวมทรัพย์กันสร้างบริเวณถวายวัด กุฎมพีบริวารกล่าวสนับสนุนว่าดีแล้วนาย ? ครั้นแล้วหัวหน้ากุฎมพีได้บริจาคทรัพย์พันหนึ่ง กุฎมพีบริวารบริจาคคนละห้าร้อย ฝ่ายสตรีบริจาคคนละ ๒๕๐ พวกกุฏมพีทั้งหลายครั้นรวมทรัพย์ดังนั้นแล้ว พากันปรารถนาจะสร้างบริเวณขนาดใหญ่มีเรือนยอดพันหลังเป็นบริวาร เพื่อถวายเป็นที่ประทับอยู่ของสมเด็จพระบรมศาสดา ต่อมาเมื่อทุนก่อสร้างไม่เพียงพอเพราะการสร้างนั้นเป็นงานใหญ่ จึงได้บริจาคทรัพย์กันอีกคนละครึ่งจากทุนที่บริจาคแล้วครั้งก่อน ครั้นการก่อสร้างบริเวณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงคราวทํางานฉลอง กุฎมพีเหล่านั้นได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประมุข เป็นงานใหญ่ตลอด ๗ วัน ได้ถวายจีวรแก่ภิกษุสงฆ์ ๒ หมื่นองค์

 

เชฐกุฎมฺพิกสฺส ปน ภริยา - ส่วนภริยาของหัวหน้ากุฎมพีมิได้บริจาคทรัพย์เท่ากับใครทั้งหมด ได้กระทําตามปัญญาของตนเอง ตั้งใจว่าจักบูชาสมเด็จพระบรมศาสดาให้เป็นพิเศษ แล้วได้เตรียมถือเอากระเช้าดอกอังกาบพร้อมกับผ้าสาฎกมีสีเหมือนดอกอังกาบราคาพันหนึ่งไปด้วย ครั้นถึงเวลาจะอนุโมทนา นางได้เอาดอกอังกาบบูชาสมเด็จพระบรมศาสดาแล้วเอาผ้าสาฎกนั้นวางทอดไว้ใกล้ๆ กับพระพุทธบาทยุคล แล้วตั้งความปรารถนาเฉพาะต่อพระพักตร์ของสมเด็จพระบรมศาสดาว่า ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์ ขอให้หม่อมฉันจงมีผิวพรรณเหมือนสีดอกอังกาบในภพที่ไปบังเกิดนั้น ๆ เถิด และขอให้หม่อมฉัน จงมีนามว่า อโนชา นั่นแล ( อโนชา แปลว่า ดอกอังกาบ – ขอให้หม่อมฉันจงมีนามว่าอังกาบนั่นแล ) สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงอนุโมทนาว่า ขอความปรารถนาของท่านจงสําเร็จสมประสงค์ เต สพฺเพปิ กุฎมพีเหล่านั้น เมื่อดำรงชีวิตอยู่ในอัตภาพนั้นจนสิ้นอายุขัยแล้ว ก็ได้พร้อมกันไปบังเกิดในเทวโลกสถานสิ้นทั้งมวล ครั้นมาในกาลพุทธศาสนาแห่งสมเด็จพระโคดมบรมศาสดานี้ ได้พากันจุติจากเทวโลกมาบังเกิดในมนุษย์โลกนี้ หัวหน้ากุฎมพีได้บังเกิดในราชตระกูลในกุกกุฏวตีนคร เมื่อทรงพระเจริญวัยก็ได้ทรงเสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้ามหากัปปินะราชา กุฎมพีที่เป็นบริวารก็ได้มาบังเกิดในตระกูลอํามาตย์ข้าราชการทั้งหลาย ภริยาของหัวหน้ากุฎมพีได้มาบังเกิดในราชตระกูลในสาคลนคร แว่นแค้วนมัททราษฎร พระนางมีพระฉวีวรรณเหมือนสีดอกอังกาบและได้พระนามว่า อโนชา ( อังกาบ ) เหมือนดังที่ทรงปรารถนาไว้นั่นเทียว ครั้นพระนางทรงพระเจริญวัย ก็ได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้ามหากัปปินะ มีพระนามว่า พระนางเจ้าอโนชาเทวี ฝ่ายสตรีที่เหลือก็ได้มาบังเกิดในตระกูลแห่งอํามาตย์ข้าราชการทั้งหลาย เมื่อเจริญวัยต่างก็ได้สมรสกับบุตรแห่งอํามาตย์ข้าราชการทั้งหลายเช่นเดียวกัน บรรดาอํามาตย์ข้าราชการทั้งหมดนั้น ต่างก็พากันได้เสวยรมย์ชมสมบัติเช่นเดียวกับพระเจ้ามหากัปปินะราชา กล่าวคือ ขณะใดพระราชาทรงเครื่องอาภรณ์พรรณเสด็จขึ้นช้างพระที่นั่งดําเนินไป ขณะนั้น แม้พวกอํามาตย์เหล่านั้น ก็พากันขึ้นช้างเที่ยวไปเหมือนอย่างนั้น เมื่อพระราชาเสด็จพระราชดําเนินด้วยม้าหรือด้วยราชรถ แม้พวกอํามาตย์เหล่านั้น ก็ขึ้นม้าหรือขึ้นรถเที่ยวไปเหมือนอย่างนั้น พระราชาและอํามาตย์ทั้งหลายได้เสวยรมย์ชมสมบัติร่วมกันเช่นนั้น ก็ด้วยอานุภาพบุญบารมีที่ได้ร่วมกันสร้างไว้แต่ชาติก่อน ด้วยประการฉะนี้

 

รญฺโญ ปน พโล - อนึ่งพระเจ้ามหากัปปินะนั้นทรงมีม้าวิเศษอยู่ ๕ ม้า ซึ่งได้ชื่อต่างๆ กัน คือ ม้าพละ ๑ ม้าพลวาหนะ ๑ ม้าปุปผะ๑ ม้าบุปผวาหนะ ๑ และม้าสุปัตตะ ๑ บรรดาม้าวิเสส ๕ ม้านั้น ม้าสุปัตตะพระเจ้ามหากัปปินะทรงเอง ส่วนอีก ๔ ม้าพระราชทานให้พวกม้าใช้ สําหรับไปนําข่าวสาส์นมาตามพระราชประสงค์ พระเจ้ามหากัปปินะทรงพระราชทานให้พวกม้าใช้รับประทานอาหารแต่เช้าแล้วทรงส่งไปเสาะหาข่าวว่า พวกเธอจงไป จงเที่ยวไปให้ไกลถึงสองโยชน์หรือสามโยชน์ รู้ว่าพระพุทธเจ้า หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์เกิดขึ้นแล้ว จึงนําข่าวแห่งความสุขนั้นมาบอกแก่เรา พวกม้าใช้เหล่านั้นออกจากประตูเมืองทั้ง ๔ เที่ยวเสาะหาไปตลอดระยะทางถึงสองโยชน์ ไม่ได้ข่าวสาส์นแล้วก็กลับมา

 

อเถกทิวสํ ราชา - อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ามหากัปปินะ เสด็จขึ้นทรงม้าชื่อสุปัตตะ มีหมู่มุขอํามาตย์มนตรีพันหนึ่งเป็นพระราชบริพาร เสด็จไปสู่พระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นพวกพ่อค้า ประมาณ ๕๐๐ คน ท่าทางเหน็ดเหนื่อยกําลังจะเข้าไปสู่พระนคร ทรงพระราชดําริว่า พวกพ่อค้าเหล่านี้ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยมาในทางไกล คงจักได้ฟังข่าวดีๆ สักอย่างหนึ่งจากพวกพ่อค้าเหล่านี้เป็นแน่ ครั้นแล้วจึงทรงรับสั่งให้พวกพ่อค้าเหล่านั้นเข้ามาเฝ้าแล้วตรัสถามว่า พวกเธอมาจากไหน พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ จากนี้ไปประมาณ ๒๐๐๐ โยชน์ มีเมืองๆ หนึ่ง ชื่อเมืองสาวัตถี พวกข้าพระพุทธเจ้ามาจากเมืองนั้น พระเจ้าข้า พระเจ้ามหากัปปินะ ตรัสถามว่า ในเมืองของพวกเธอ ได้มีข่าวอะไรๆ เกิดขึ้นบ้างหรือไม่ พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ! ข่าวอะไรๆ อย่างอื่นนั้นไม่มี แต่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบังเกิดขึ้นแล้ว ในทันใดนั้นพระเจ้ามหากัปปินะทรงมีพระสรีระซาบซ่านไปด้วยปีติทั้ง ๕ จนไม่ทรงสามารถที่จะกําหนดคําอะไรๆ ได้ พอสักครู่หนึ่ง จึงตรัสถามว่า พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย พวกเธอพูดว่าอย่างไร พวกพ่อค้ากราบทูลซ้ำอีกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าข้า แม้ในครั้งที่สอง และในครั้งที่สาม พระเจ้ามหากัปปินะ ก็ทรงกําหนดคําอะไรไม่ได้เหมือนอย่างนั้น ครั้นถึงครั้งที่สี่ตรัสถามอีกว่า พวกเธอพูดอะไร พ่อมหาจําเริญ เมื่อพวกพ่อค้ากราบทูลอีกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าข้า พระเจ้ามหากัปปินะตรัสว่า พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย ฉันให้รางวัลแสนหนึ่งแก่พวกเธอ แล้วตรัสถามต่ออีกว่า ข่าวอะไรอย่างอื่นมีอีกไหม พ่อมหาจําเริญ พวกพ่อค้ากราบทูลตอบว่า มีพระเจ้าข้า ! พระธรรมบังเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้ามหากัปปินะได้ทรงสดับคําว่าพระธรรมนั้นแล้ว ก็ทรงกําหนดคําอะไรไม่ได้ ทรงให้เวลาผ่านไปถึงสามวาระเหมือนครั้งก่อน ครั้นถึงวาระที่สี่ เมื่อพวกพ่อค้ากราบทูลว่าพระธรรม จึงได้พระสติตรัสว่า " แม้ในเพราะพระธรรมนี้ฉันให้รางวัลพวกเธอแสนหนึ่ง แล้วตรัสถามว่า ข่าวอะไรอย่างอื่นมีอีกไหม พ่อมหาจําเริญ พวกพ่อค้ากราบทูลว่า มีพระเจ้าข้า พระสงฆรัตนะ บังเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้ามหากัปปินะ ได้ทรงสดับคําว่า พระสงฆรัตนะนั้นแล้ว ก็ทรงกําหนดคําอะไรไม่ได้ ทรงให้เวลาผ่านไปถึงสามวาระเหมือนครั้งก่อน ๆ ครั้นถึงวาระที่สี่ เมื่อพ่อค้ากราบทูลว่า พระสงฆ์จึงได้พระสติตรัสว่า แม้ในเพราะพระสงฆ์นี้ฉันให้รางวัลแก่พวกเธอแสนหนึ่ง ครั้นแล้วทรงทอดพระเนตรไปยังหมู่อํามาตย์มนตรีพันหนึ่งตรัสถามว่า พ่อมหาจําเริญ พวกท่านจักทําอย่างไร หมู่มุขอํามาตย์กราบทูลย้อนถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ! พระองค์จักทรงกระทําอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า พระเจ้ามหากัปปินะตรัสตอบหมู่อํามาตย์ว่า พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย ฉันได้ยินว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้ว พระธรรมบังเกิดแล้ว พระสงฆ์บังเกิดแล้ว เพราะฉะนั้นฉันจะไม่กลับไปพระนครอีก ขออุทิศชีวิตต่อสมเด็จพระบรมศาสดา จักไปบวชอยู่ในสํานักของพระพุทธองค์ หมู่มุขอํามาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ! แม้พวกข้าพระพุทธเจ้าก็จักบวชกับด้วยพระองค์ พระเจ้ามหากัปปินะทรงให้จารึกพระอักษรลงในแผ่นพระสุพรรณบัฏ แล้วมีพระราชดําตรัสสั่งไปกับพวกพ่อค้าว่า พระเทวีอโนชา คงจักประทานรางวัลให้แก่พวกเธออีกไม่ต่ำกว่าสามแสน แต่ว่าพวกเธอจึงทูลพระเทวีนั้นอย่างนี้ ได้ยินว่าพระราชาทรงเวนพระอิสสริยสมบัติถวายแก่พระองค์ ขอพระองค์จงทรงเสวยพระราชสมบัติตามพระราชประสงค์ ก็แหละถ้าพระเทวีตรัสถามพวกเธอว่า พระราชาเสด็จไปไหน จึงกราบทูลพระนางว่า พระราชารับสั่งว่าจักทรงผนวชอุทิศพระบรมศาสดาแล้วก็เสด็จไป ฝ่ายมุขอํามาตย์ทั้งหลายก็ส่งฝากสาส์นไปถึงภริยาของตน ๆ เหมือนอย่างนั้น พระเจ้ามหากัปปินะทรงส่งพวกพ่อค้าไปแล้ว มีมุขอํามาตย์พันหนึ่งแวดล้อมเสด็จออกเดินทางไปในขณะนั้นนั่นแล

 

สตฺถาปิ ตํ ทิวสํ ปจฺจูสกาเล - ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดา วันนั้นได้ทรงตรวจพระญาณดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้ามหากัปปินะะกับทั้งพระราชบริพาร ทรงทราบว่า พระเจ้ามหากัปปินะนี้ได้ทรงสดับจากสํานักของพ่อค้าว่ารัตนะทั้งสามบังเกิดขึ้นแล้ว ทรงบูชาคําพูดของพ่อค้าเหล่านั้นด้วยพระราชทรัพย์สามแสนแล้ว ทรงสละราชสมบัติมีหมู่มุขอํามาตย์พันหนึ่งเป็นราชบริพาร มีพระราชประสงค์จะทรงผนวชอุทิศต่อเรา แล้วจักเสด็จพระราชดําเนินออกมาในวันพรุ่งนี้ พระเจ้ามหากัปปินะนั้นกับทั้งราชบริพาร จักบรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ เราจักกระทําการไปต้อนรับพระเจ้ามหากัปปินะนั้น ครั้นแล้วในวันรุ่งขึ้นพระองค์เองก็ทรงบาตรและจีวรเสด็จไปต้อนรับถึงระยะทาง ๒๐๐๐ โยชน์เป็นดุจพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จไปต้อนรับนายอําเภอชั้นเล็กๆ ฉะนั้น แล้วทรงประทับนั่งเปล่งพระรัศมี อันมีวรรณะ ๖ ประการอยู่ ณ โคนต้นนิโครธริมฝั่งแม่น้ำจันทภาคานั้น นั่นแล.

 

ราชาปิ อาคจฺฉนฺโต - ฝ่ายพระเจ้ามหากัปปินะ ครั้นเสด็จมาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งจึงตรัสถามว่า นี้ชื่อแม่น้ำอะไร มุขอํามาตย์กราบทูลว่า ชื่อแม่น้ำอปรัจฉา พระเจ้าข้า พระเจ้ามหากัปปินะ ตรัสถามซักว่า แม่น้ำนี้ประมาณเท่าไร พ่อมหาจําเริญ มุขอํามาตย์กราบทูลว่า ลึกหนึ่งคาวุต กว้างสองคาวุต พระเจ้าข้า พระเจ้ามหากัปปินะตรัสถามว่า ที่แม่น้ํานั้นมีเรือหรือแพไหมเล่า ? มุขอํามาตย์กราบทูลว่า ไม่มีพระเจ้าข้า พระเจ้ามหากัปปินะทรงรําพึงถึงพระคุณของพระรัตนะทั้งสามพร้อมทั้งทรงอธิษฐานว่า เมื่อเราหาเรือเป็นต้นอยู่นี้ ชาติย่อมนําไปสู่ชรา ชราย่อมนําไปสู่มรณะ เราเป็นผู้หมดความสงสัย อุทิศเฉพาะต่อพระรัตนะทั้งสาม ออกเดินทางมาแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนะทั้งสามของข้าพเจ้านั้น ขอน้ำนี้จงอย่าได้ปรากฏเป็นเหมือนน้ำ " เมื่อทรงระลึกถึงพุทธานุสสติอยู่ว่า อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทโธ ดังนี้เป็นต้น พระองค์พร้อมทั้งพระราชบริพารก็เสด็จเดินไปบนผิวน้ำด้วยม้าพันหนึ่ง ม้าสินธพทั้งหลายวิ่งไปบนผิวน้ำดุจว่าวิ่งไปบนหลังแผ่นหิน เปียกแต่เพียงปลายกีบเท่านั้น พระเจ้ามหากัปปินะ ครั้นเสด็จข้ามแม่น้ำอปรัจฉานที่นั้นแล้ว เสด็จต่อไปข้างหน้าก็ได้ทรงเห็นแม่น้ำอื่นอีกจึงตรัสถามว่า นี้ แม่น้ำอะไร มุขอํามาตย์กราบทูลว่า แม่น้ำนีลวาหานที พระเจ้าข้า ตรัสซักถามอีกว่า แม่น้ำนั้น ประมาณเท่าไร มุขอํามาตย์กราบทูลว่า ทั้งลึกและกว้างประมาณโยชน์ครึ่งเท่ากัน พระเจ้าข้า คําอื่น ๆ เหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็พระเจ้ามหากัปปินะนั้นครั้นทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำดังนั้นแล้ว ก็ทรงระลึกถึงธัมมานุสสติว่า สวากขาโต ภควตา ธมฺโม เป็นต้นแล้วก็เสด็จวิ่งม้าไปได้ ครั้นเสด็จข้ามแม่น้ำนีลวาหานทีนั้นไปแล้วก็ได้ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำอื่นอีก ตรัสถามว่า นี้แม่น้ำอะไร มุขอํามาตย์กราบทูลว่า แม่น้ำจันทภาคานทีพระเจ้าข้า ตรัสซักถามต่อว่า แม่น้ำนั้นประมาณเท่าไร มุขอํามาตย์กราบทูลว่า ทั้งลึกและกว้างประมาณโยชน์หนึ่งพระเจ้าข้า คําอื่น ๆ เหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ส่วนพระเจ้ามหากัปปินะครั้นทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำจันทภาคานทีนั้นแล้ว ก็ทรงระลึกถึงสังฆานุสสติว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ เป็นต้นแล้วก็เสด็จวิ่งม้าข้ามไปได้ ก็แหละครั้นเสด็จเลยแม่น้ำจันทภาคานทีนั้นไปก็ได้ ทอดพระเนตรเห็นพระรัศมีอันมีวรรณ ๖ ประการ ซึ่งพุ่งออกจากพระสรีระกายของสมเด็จพระบรมศาสดา ซึ่งทําให้ต้นนิโครธทั้งกิ่งใบและคาคบกลายเป็นดุจทองคํา พระเจ้ามหากัปปินะทรงพระราชดําริว่า นี้จะว่า เป็นแสงพระจันทร์ก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นแสงพระอาทิตย์ก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นรัศมีของเทวดา มาร พรหม นาค ครุฑอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ใช่ เพราะเรามาทั้งนี้ด้วยอุทิศชีวิตเฉพาะต่อสมเด็จพระบรมศาสดา พระมหาโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าจักทรงทอดพระเนตรเห็นเราเป็นแน่แท้ ครั้นแล้วได้เสด็จลงจากหลังม้าในทันใดนั้น น้อมพระองค์ลงพลางเสด็จพระราชดําเนินเข้าไปหาสมเด็จพระบรมศาสดาตามสายแสงแห่งพระรัศมี เสด็จเข้าไปภายในแห่งพระพุทธรัศมี ดูเป็นดุจว่าดําลงไปในรสแห่งมโนศิลา ถวายบังคมสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วพร้อมทั้งหมู่มุขอํามาตย์พันหนึ่ง ประทับนั่งอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้

 

สตฺถา ตสฺส อนุปุพฺพีกถํ กเถสิ - ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดา ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาโปรดพระเจ้ามหากัปปินะราชา ในเวลาจบพระธรรมเทศนาพระเจ้ามหากัปปินะกับทั้งราชบริพาร ก็ได้ดํารงอยู่โสดาปัตติผล ในทันใดนั้น ก็พากันลุกขึ้นกราบทูลขอบรรพชาต่อสมเด็จพระบรมศาสดาด้วยกันทั้งหมดทุกคน สมเด็จพระบรมศาสดาทรงใคร่ครวญดูว่า บาตรและจีวรอันสําเร็จด้วยฤทธิ์ จักลอยมาแก่กุลบุตรเหล่านี้หรือประการใด ทรงทราบว่า กุลบุตรเหล่านี้เคยได้ถวายจีวรพันผืนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าจํานวนพันองค์ และในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้ถวายจีวรสองหมื่นแก่ภิกษุจํานวนสองหมื่นรูป ดังนั้น การลอยมาแห่งบาตรและจีวรอันสําเร็จด้วยฤทธิ์เพื่อกุลบุตรเหล่านี้จึงไม่ต้องสงสัย ครั้นแล้วก็ทรงเหยียดออกซึ่งพระหัตถ์เบื้องขวาพร้อมกับมีพระพุทธดํารัสตรัสประกาศว่า เอถ ภิกฺขโว จรถ พฺรหมฺจริยํ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาย เธอทั้งหลายจงมาเป็นภิกษุเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทําที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด พระเจ้ามหากัปปินะและมุขอํามาตย์ราชบริพารเหล่านั้น เป็นผู้ทรงบริขาร ๘ ของบรรพชิต ปรากฏเป็นดุจว่าพระเถระมีพรรษา ๖๐ ในทันใดนั้น นั่นเทียว ครั้นแล้วก็เหาะขึ้นสู่อากาศเวหาส์แล้วกลับลงมาถวายบังคมสมเด็จพระบรมศาสดาพากันนั่งเฝ้าแหนอยู่แล้ว ด้วยประการฉะนี้.

 

แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องพระมหากัปปินะเถระมาก็นับว่าพอสมควรแก่กาลเวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้

 

( ๘ มิ.ย. ๒๕๐๕ เวลา ๑๖.๐๐ น. )