ไขปัญหาธรรมบนเว็บบอร์ด

ยินดีต้อนรับ, ผู้เยี่ยมชม
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน.    ลืมรหัสผ่าน?

ไขปัญหาธรรม ตอน สงสัยเรื่องทาน
(1 viewing) (1) ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
Go to bottom
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1
หัวข้อ : ไขปัญหาธรรม ตอน สงสัยเรื่องทาน
#100
ไขปัญหาธรรม ตอน สงสัยเรื่องทาน 13 ปี, 5 เดือน ก่อน  
ทาน

วันนี้มีผู้ปฏิบัติถามถึงเรื่องทาน หลวงตาก็เลยมาตอบไว้ตรงนี้ด้วย หลังจากได้อธิบายให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าใจถึงเรื่องทาน

ทาน นั้นแบ่งระดับออกไปง่ายๆ สามระดับ คือ สามีจิทาน สหายทาน และ ทาสทาน อันว่าทานนั้น ต้องมีเจ้าของ ดังที่เคยอธิบายไว้แล้วว่า ทรัพย์ต้องมีเจ้าของ ผู้ยินดีสละทรัพย์เรียกว่าผู้ให้ ผู้ที่ได้รับทรัพย์นั้นต้องยินดี จึงจะได้ทรัพย์นั้นมาโดยไม่มีบาป ถ้าได้ทรัพย์นั้นมา โดยที่เจ้าของทรัพย์ยินดีสละทรัพย์ แต่ผู้รับไม่ยินดีที่จะรับทรัพย์ หรือรับทรัพย์นั้นมาโดยไม่ยินดี ทรัพย์นั้นก็ยังไม่เป็นของผู้รับในทางธรรม แม้ในทางโลกทรัพย์นั้นจะบอกว่าได้ให้แล้ว ได้มีผู้รับแล้ว สมบูรณ์ด้วยพฤตินัยแล้ว จริงสมบูรณ์โดยพฤตินัย แต่ไม่สมบูรณ์ทางธรรม เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่มีความยินดี ในทางธรรม ทรัพย์นั้นก็ยังไม่สมบูรณ์ทั้งสองฝ่าย ถ้าสมบูรณ์เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ย่อมไม่เกิดกุศล ต้องสมบูรณ์พร้อมทั้งสองฝ่ายจึงจะเกิดเป็นกุศล อันนี้ขึ้นอยู่กับคุณธรรมอันงามของทั้งสองฝ่าย

ในทางโลกๆ เมื่อมีการให้แล้ว อีกฝ่ายรับไปด้วยความไม่พอใจแล้วทิ้งเสีย ต่อหน้าผู้ให้ ด้วยเหตุไม่ยินดีพอใจ หรือเหตุอื่นใด ผู้ให้ได้กระทำจิตของตนไว้อย่างแยบค่ายแล้วว่า ตนได้สละทรัพย์นั้นไปแล้ว ทรัพย์นั้นย่อมเป็นสิทธิของผู้รับที่จะกระทำต่อทรัพย์นั้นๆ อย่างไรก็ได้ ทำได้เช่นนี้ ผู้ให้ย่อมสมบูรณ์พร้อมแล้วด้วยพรหมวิหารสี่

ในซีกทางฝ่ายผู้รับ เมื่อรับทรัพย์นั้นมาแล้ว เมื่อเปิดออกดู ก็เห็นว่าทรัพย์นั้นด้อยค่า จึงทิ้งขว้างเสีย หรือสละให้ผู้อื่นต่อไปอีก โดยหวังที่จะได้รับสิ่งใหม่ที่ดีกว่า ด้วยมองว่ายังมีโอกาส มิได้ให้หรือสละทรัพย์นั้นไปด้วยความยินดี แต่สละทรัพย์นั้นไปเพราะเห็นแก่โอกาสภายหน้าในอนาคตอันใกล้หรือไกลก็ตาม ผู้ที่กระทำเช่นนั้น ย่อมเป็นผู้ได้รับบาป เหตุเพราะมิได้มีจิตอันเป็นกุศล กิริยาภายนอกนั้นเพียงแสดงออก และเชื่อได้เลยว่า ถ้าบุคคลผู้นั้น ไม่ได้รับทรัพย์ใหม่ตามทีตนมีปรารถนาอันลามก บุคคลผู้นั้น ย่อมคิดถึงทรัพย์เดิม และต้องหาอุบายที่จะเอาทรัพย์นั้นคืนโดยมิชอบ

ในคำสอนขององค์พระพุทธศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนเรื่องการบริหารจิตเป็นสำคัญ การกระทำใดๆก็ตามย่อมมีจิตเป็นตัวบงการ ธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้นได้ต้องมีจิตเป็นหัวหน้า เป็นตัวคิด เมื่อจิตเป็นต้นคิด แต่เพราะตัวเจ้าของไม่ทันต่อจิตตนจึงได้ทำกิจ ทำกรรม ไปโดยประมาท เป็นเหตุให้ต้องตกอยู่ในฝ่ายบาปเป็นอาจิณ จะหวังอะไรที่จะเกิดในภพภูมิที่ดี การเกิดในภพภูมิที่เป็นมนุษย์ก็ยากแล้ว จะหวังที่จะเกิดในภพภูมิที่เป็นเทวดายิ่งยากใหญ่ จึงหวังได้เพียงอย่างเดียวว่าจะต้องเกิดในภพภูมที่เป็นที่ไม่สบาย หรืออบาย นั่นเอง หรือหนักหน่อยก็ตกลงสู่นรกอเวจี เหตุเพราะมีการทำร้ายทำลายถึงขั้นเข่นฆ่า นี้เป็นคำอธิบายง่ายๆ ในคำสอนขององค์พระพุทธศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า

ขออธิบายความของทานอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับ สามีจิทาน สหายทาน และทาสทาน

สามีจิทาน หมายถึงทานอันเลิศ ถ้าทางฝ่ายต่ำคือยังมีกิเลสหนาทั้งสองฝ่าย ย่อมต้องหาเอาที่เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย สิ่งอันใดที่สังคมของคนหนา ยึดถือเอาว่าเป็นของเลิศ ก็จะเพียรมากเพื่อที่หามาให้ได้ หรือที่ตั้งหวังไว้เป็นลามก ก็จะเพียรหาเอาไปกำนัลผู้อื่น เพื่อให้เป็นที่พอใจของผู้รับ เพื่อที่จะได้มีโอกาสอวดโอ้ แข่งขันประชันความหนากัน ก็นับว่าเป็นที่สุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับยาพิษที่เคลือบสีสันอันสวยงามและหวานหอม นอกจากจะทำร้ายตนเองและหมู่คณะแล้ว บางครั้งจะเห็นได้ว่า มันมีผลมากขนาดที่เรียกว่า ทำลายชาติกันได้ทีเดียว ตัวอย่างก็เคยได้ศึกษากันมาแล้วในประวัติศาสตร์ของชาติต่างๆ ชาติไทยเราก็มีให้ได้ศึกษากัน

ส่วนทางด้านฝ่ายบุญ คือในพวกที่ได้อบรมตนอบรมจิตมาแล้ว สามีจิทาน ย่อมเป็นสามีจิทานได้ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ เพราะผู้ให้ก็มีศีล มีธรรมความประพฤติอันดีงาม ผู้รับก็มีศีล มีธรรมความประพฤติอันงาม ต่างฝ่ายต่างงาม ย่อมิได้มองที่วัตถุ แต่จะมองที่ความประณีตวิจิตรของทานนั้นๆ มิได้ใยดีต่อคุณค่าของวัตถุ แต่ชื่นใจยินดีในจิตอันงามของผู้ให้ ผู้ให้ก็ชื่นใจยินดีในจิตของผู้รับ แม้เพียงการกล่าววาจาทักทายอันเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ก็เป็นทานอันเลิศแล้ว จะกล่าวใยกับการแสดงการคารวะ กราบไหว้อันงดงาม ที่ได้รับการฝึกฝนมาจนอ่อนน้อมแล้ว ย่อมเป็นบุญอันยิ่งทั้งในผู้ให้และผู้รับ

จึงกล่าวได้ว่า ทานนั้น มิใช่จะเป็นเพียงวัตถุเท่านั้น แต่ว่าจิตนั้นสำคัญยิ่ง จิตของผู้ให้ แม้ไม่ได้มีสิ่งใดติดไม้ติดมือมา แต่ว่าได้ใช้ กิริยา วาจา และท่าทาง อันงามยิ่ง ก็เพียงพอแล้ว สำหรับผู้รับที่มีศีลมีธรรมอันงาม

สหายทาน คือทานอันเสมอด้วยตัวเจ้าของ คือถือเอาตนเป็นหลัก มิได้มองผู้รับเป็นหลัก แม้ไม่ใช่สิ่งของ แต่ว่ามิได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดีงาม ย่อมทำในสิ่งอันไม่ควร เช่นการทักทายผู้ใหญ่ ใช้เพียงวาจาทักทาย อันนี้เรียกว่าตีเสมอ การยกมือขึ้นทำความเคารพ แต่ทำความเคารพอย่างที่เรียกว่าผิดธรรมเนียม ก็เรียกว่าตีเสมอ สหายทานจึงหมายถึง ทานที่เสมอเทียบเท่ากับตน ที่ตนมี ที่ตนเป็น ที่ตนใช้ อย่างนี้เป็นต้น

ทาสทาน คือทานอันต่ำกว่าที่ตนมี ที่ตนเป็น ที่ตนใช้ แม้ไม่ใช่สิ่งของเครื่องกำนัลใดๆ แต่เป็นการแสดงออกในสังคมอันดีงาม กล่าวเรียกขานผู้ใหญ่ในทางที่ไม่งาม ออกชื่อ ขานนามโดยมิได้ให้เกียรติ ไม่เคารพในบุญของผู้ที่สูงกว่า ไม่ว่าจะเป็น คุณธรรม ชาติวุฒิ คุณวุฒิ และวัยวุฒิ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบอกถึง วุฒิภาวะของผู้แสดงออก ว่าเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาดีหรือยัง การไม่เคารพในภาวะทั้งสี่ที่ตนเอง ตัวเจ้าของเอง ยังไปไม่ถึง ยังไม่มีในตน นี้ ย่อมเป็นการสร้างบาป นำตนให้สู่ความเสื่อม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เหตุเพราะอดีตนั้นไม่ได้สร้างมาดี ปัจจุบันจึงไม่รู้ ไม่เข้าใจ ทำให้อนาคตต้องได้รับทุกข์ เสื่อมทั้งเกียรติ สุข และลาภสรรเสริญ อันพึงมีพึงได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ฉะนั้น ท่านทั้งหลาย อย่าเข้าใจผิดคิดว่าทานนั้นต้องหมายถึงทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่ทานนั้นเมื่อเข้าใจ เข้าถึงแล้ว จึงจะมีผลอันยิ่งใหญ่ ไม่ต้องดูไกล ขอทานที่ยกมือประนม แล้วพูดจาอันระรื่นหู ย่อมได้ทรัพย์รับทานได้โดยไม่ยาก และไม่ขาดแคลน จะกล่าวใยกับผู้ที่ได้เรียนรู้มามาก ศึกษา วินิจฉัยมามากมาย ย่อมสร้างทานอันเลิศได้สมบูรณ์โดยไม่ยาก อันจะนำให้เป็นผู้ที่อุดมไพบูลย์ อยู่ในโลกได้อย่างผู้ที่สมบูรณ์ไพบูลย์พร้อมไปด้วย เกียรติยศ สุข ลาภ และสรรเสริญ

วันนี้ก็ขอจบเรื่อง ทาน อันมีผลมาก ไว้เพียงเท่านี้


ใส่รหัสที่นี่   
กล่องตอบด่วน
Kittiyano

Reply Quote
 
Go to top
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1