ไขปัญหาธรรมบนเว็บบอร์ด

ยินดีต้อนรับ, ผู้เยี่ยมชม
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน.    ลืมรหัสผ่าน?

ไขปัญหาธรรม เรื่อง นอนอย่างไรถึงจะตายเป็นสุข
(1 viewing) (1) ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
Go to bottom
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1
หัวข้อ : ไขปัญหาธรรม เรื่อง นอนอย่างไรถึงจะตายเป็นสุข
#108
ไขปัญหาธรรม เรื่อง นอนอย่างไรถึงจะตายเป็นสุข 13 ปี, 3 เดือน ก่อน  
นอนอย่างไรถึงจะตายเป็นสุข

สืบเนื่องมาจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เก้ามกราคมห้าสี่ มีโยมมาถามว่า เวลานอนควรทำจิตอย่างไรถึงจะเรียกว่าไม่ประมาท ถ้าตายไปจะได้ไม่ตกสู่ทุกข์คติ อันนี้เอาคำถามของเขามาเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายเข้า

อันที่จริงถ้าจะว่าไปแล้ว ไม่ว่าเวลาไหนๆ ก็ตายได้ ดูอย่างเมื่อเร็วๆนี้ มีคนมาเล่าให้ฟังว่า มีข่าวอย่างที่หลวงตาเคยบอกไว้ว่า อยู่ที่ไหนๆ เมื่อถึงคราวเวลามาถึง ก็ตายได้ตลอดเวลา แม้จะนอนอยู่ในบ้าน มีคนยิงปืนขึ้นฟ้าแล้วลูกกระสุนตกไปทะลุหลังคาบ้านผู้อื่น ทำให้เด็กที่นอนอยู่ตาย เป็นธรรมดา เมื่อกระสุนขึ้นสูงสุดแล้ว ก็ต้องตกลงมา ถ้าเป็นวิถีโค้งก็ตกไกลมากหน่อย เรื่องนี้ผู้ใช้อาวุธต้องศึกษาให้ดี มีคนบางพวกที่ไม่ใช่คนดี คิดหวังผลด้วยการอ้างว่าไม่ได้ยิงเข้าไปที่ฝูงชน แต่ว่ายิงขึ้นฟ้า แต่ยิงเป็นวิถีโค้ง ก็ทำไมไม่ยิงขึ้นไปตรงๆละ เวลาตกจะได้ไม่ตกใส่ผู้อื่น ฮึ ฮึ

นอกเรื่องจนได้ เอากลับเข้าเรื่องดีกว่า เรื่องนอนอย่างไรจึงจะไม่ประมาท อย่างที่บอกแต่ต้นแล้วว่า ไม่ว่าเวลาใดๆ ก็ไม่ควรประมาท แต่วันนี้เอาเรื่องเวลานอนก่อนก็แล้วกัน ส่วนที่จะไปเกี่ยวถึงเรื่องอะไร ก็ค่อยว่ากันไปตามเนื้อหา

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจเรื่อง จิตสุดท้ายก่อนตายว่ามันมีความสำคัญอย่างไร จิตสุดท้ายนี้ เรียกว่า มรณาสันนวิถีจิต คือจิตในช่วงสุดท้ายที่ดำเนินไปก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ อันมีสัญญาเป็นเครื่องปรุงแต่ง สัญญาที่ว่านี้ก็คือความจำที่มีอยู่เดิมในสัตว์อันเกี่ยวกับกรรมที่ได้สร้างไว้ เป็นฝ่ายกุศลหรือเป็นฝ่ายอกุศล ถ้าเป็นฝ่ายกุศลสัตว์นั้นก็จะมีอาการที่ไม่ทุรนทุราย ค่อยๆดำเนินไปจนถึงวาระสุดท้ายหลังสิ้นลมหายใจ เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล สัตว์นั้นก็จะทุรนทุรายไปตามกรรมที่มีสัญญาคือความจดจำได้และจิตเริ่มคลายอกุศลกรรมสัญญาออกมาในขณะที่สัตว์นั้นอ่อนกำลัง จิตก็จะเป็นสมาธิโดยธรรมชาติ บ้างก็เข้าถึงระดับฌานคือแนบแน่นไม่อาจละคลายได้ บ้างก็อยู่ในระดับธรรมดา ที่บรรดาญาติจะช่วยกันประคับประคองให้ถึงที่ดีในที่สุด แต่จิตก็ยังมีเวลาดำเนินไปอีกนานพอควรหลังหมดลมหายใจ ยังสามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆรอบข้างได้อีกมากทีเดียว แต่ก็ไม่เสมอไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแรงกรรม ถ้าเป็นการมรณะแบบธรรมดาสิ้นอายุไข ก็ดำเนินได้จนตลอด ถ้าเป็นกรรมตัดรอน หรือด้วยกุศลหรืออกุศลหนักจนเบี่ยงเบนวิถีชีวิต จิตก็จะจับอารมณ์สุดท้ายแล้วนำเข้าสู่ปฏิสนธิจิตทันที

ฉะนั้น การสร้างกรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม ล้วนถูกบันทึกเป็นข้อมูลเอาไว้จัดการตามหน้าที่ของกรรม จึงบอกว่า กรรมยุติธรรมเสมอ ไม่อาจที่จะหลบหลีกเลี่ยงหนีไปได้ แม้จะหลอกกรรมได้เพราะว่ายังไม่ถึงกับหมดโอกาส แต่ก็ต้องชดใช้หรือรับผลอย่างแน่นอน เมื่อเข้าใจเรื่องกรรมแล้ว จึงไม่ควรประมาทอีกต่อไป พระพุทธศาสดาทรงสั่งสอนเอาไว้เป็นปฐมอยู่สามข้อ ที่เรียกว่าปฐมเทศนามีความหมายว่า

สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง

เพราะสัตว์นั้นสร้างกรรมมามากมาย เป็นฝ่ายบาปอกุศลเสียมากเมื่อรู้แล้วจึงไม่ควรสร้างอกุศลกรรมอีกต่อไป

กุสะลัสสูปะสัมปะทา

ควรที่จะสร้างกุศลกรรมให้มากยิ่งจนถึงขั้นสัมปะทา คืออุดมไพบูลย์ ให้เปี่ยมล้น

สะจิตตะปะริโยทะปะนัง

เมื่อมีความดีพร้อมไปด้วยกุศลกรรมยิ่งแล้ว ก็ควรที่จะตรวจสอบมองจิตให้รอบว่ายังมีอกุศลใดอีกที่เรายังมิได้ชำระ ก็จงเร่งประพฤติปฏิบัติธรรมตามแนวคำสอนขององค์พระพุทธศาสดา เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงหลักในการชำระจิตให้ผ่องแผ้วปราศจากธุลี จิตจึงจะเบาไร้มลทิน หมดกิจ ไม่ยึดติดสิ่งใด

ที่ว่าหมดกิจ ไม่ยึดติดสิ่งใดนั้น ก็สืบเนื่องมาจากเรื่องมรณาสันนวิถีจิตนี้แหละ เพราะว่าจิตสุดท้ายที่ยึดติดอยู่กับอะไรที่ไหนอย่างไร ย่อมนำให้จิตนั้นไปเกิดในที่นั้นๆ เป็นอย่างนั้นๆ

นิทานธรรมที่เป็นเรื่องประกอบ

ครั้งนั้น พราหมณ์คหบดีท่านหนึ่ง บุญหนักที่ได้มีบุตรชายออกบวชในพระพุทธศาสนาและสำเร็จเป็นพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า เมื่อพราหมณ์ใกล้จะถึงวาระแห่งกาละ พระอรหันต์บุตรชายของพราหมณ์ก็เพ่งพินิจวิถีจิตของพราหมณ์ พบว่าจะต้องตกสู่อบายแน่ เสียโอกาสที่มีบุตรชายได้บวชอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสดา เธอจึงวางอุบายด้วยการให้บรรดาข้าทาสบริวารรีบไปจัดบริเวณเจดีย์ที่บูชาให้พรั่งพร้อมไปด้วยดอกไม้นานาพันธ์ กลิ่นหอมชวนดมเพราะเพ่งพินิจเห็นจิตของบิดานั้นตกอยู่ในราคะจริต ถ้าปล่อยให้ไปตามวิถี ก็ต้องตกสู่สิมพลีนรกแน่

หลังจากที่ได้จัดบริเวณสถานที่แล้ว ก็ให้คนทั้งหลายนำแคร่มาหามตัวบิดาเข้าไปสู่บริเวณที่เจดีย์แท่นบูชา แล้วก็กล่าวนำให้บิดาชื่นชมความงามของดอกไม้ต่างๆ พร้อมทั้งบรรยายถึงสภาพความสุขในสวรรค์ที่มีเหล่านางฟ้ามากมาย

บิดานั้นนอนหลับตาพริ้มอยู่ ก็เริ่มที่จะมีรอยยิ้มไปตามเสียงที่พระอรหันต์ท่านชักนำจิตแล้วก็สร้างนิมิตไปตามคำบรรยายนั้น ที่สุดก็ร้องบอกว่า อย่าบัง อย่าบัง พระอรหันต์ท่านจึงถามว่า บิดาท่านเห็นอะไรหรือ พราหมณ์ก็ร้องบอกว่า นางฟ้า นางฟ้า เปลื้องผ้าน่ายลจัง เจ้าอย่าบัง เจ้าอย่าบัง พระอรหันต์ได้ยินดังนั้น ก็ตอบไปว่าเราไม่บังท่านแล้ว ขอท่านจงชื่นชมยินดีกับนางฟ้าเหล่านั้น แล้วจงหลับให้เป็นสุขเถิด ไม่มีอะไรน่าห่วงไปกว่านี้อีกแล้ว

นี้ก็เป็นอุบายที่จะชักนำจิตของผู้ที่พอจะมีบุญอยู่บ้างด้วยเพราะว่ามีบุตรชายได้บวชในพระพุทธศาสนาและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ อาศัยบุญของพระอรหันต์พุทธสาวก ช่วยนำจิตในวิถีสุดท้ายให้พ้นจากอบายได้ กุลบุตรในบ้านเราทั้งหลาย เมื่อบวชแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดๆ ก็อย่างได้เสียทีเสียโอกาสที่ได้บวช อย่าเอาใจออกนอกกรอบแม้มีเวลาน้อย จงเร่งทำกุศลเพื่อพ่อแม่ญาติทั้งหลายจะได้เกาะอาศัยชายผ้าเหลืองไปสู่สุขคติได้

อันที่จริงคำว่าเกาะชายผ้าเหลืองนี้ ไม่ใช่ว่าอาศัยผ้ากาสาวะเป็นที่เกาะ แต่ที่จริงแล้วหมายถึงอาศัยบุญคุณงามความดีที่ได้สละตัวออกบวชในพระพุทธศาสนา ไม่ทำให้ศาสนาต้องมัวหมองไปเพราะตัวตนของตัวเจ้าของ แม้มีเวลาน้อย ก็จงทำตัวตั้งตรงให้อยู่ในกรอบ บางพวกบวชเพื่อที่จะออกไปเบียด สีกาทาริกาที่ตั้งใจที่จะไปเบียดด้วยนั้น ก็ขยันเอาบุญ ส่งข้าวน้ำไม่มีขาด ทำบุญใส่บาตรทุกเช้าเพล ไม่ยอมเว้นที่จะให้เห็นหน้า มาหาแม้กลางค่ำกลางคืน อย่างนี้จะมีอะไรเหลือ อย่ามาอาศัยเลยผ้าเหลือง เพราะว่านั่นนะเป็นการอาศัยไปลงนรก ไม่ใช่ว่าอาศัยไปเป็นทางขึ้นสวรรค์ ช่างเดียงสาไม่รู้กาลเอาเสียจริงๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พระคุณเจ้าในวัดก็ช่างกะไร ไม่เอาเป็นธุระ ปล่อยให้พระมีเนื้อหนังมังสา นั่งชายตามองสีกากันเป็นแถว ฮึ ฮึ มองแล้วปลงนั้นนะดี แต่มองแล้วมีท่าทีจะไม่อยู่ในผ้ากาสาวะนี่สิมันน่านัก หึ

อีกเรื่องก็เป็นเรื่องจริงประกอบ

เรื่องนี้เคยเล่าแล้วหรือยังก็จำไม่ได้ เอาว่าเล่าทวนอีกครั้งจะได้จำได้นาน เรื่องมีอยู่ว่า หลวงตามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่งชื่อว่าสมพร ชื่อเรียกกันว่า เจ เจนั้นปฏิบัติธรรมจนได้ภูมิปัญญาทางธรรมในระดับสูงพอควรเลยละ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเธอกลับไปเยี่ยมบิดามารดาที่บ้านเกิด เช้าเดินออกมาหาขนมกาแฟไปให้มารดาบิดาตามร้านค้าในหมู่บ้าน ตาเธอมองเห็นไก่ตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ จึงร้องทักไปว่า “ว่าไงคุณไก่ หวีผมเสียเรียบแปล้จะไปเที่ยวไหน” ทักทายแล้ว เจ้าของร้านมองแล้วก็ยิ้มๆ(คงนึกว่าเสียสติ)เพราะว่าไม่เคยเห็นกันมาก่อน ถามไถ่กันตามประสาคนบ้านเดียวกัน เพราะสำเนียงที่พูดบอกว่าบ้านเดียวกัน ได้ของชำระเงินแล้วเจก็เดินกลับบ้าน

รุ่งอีกวันก็ไปซื้อหาเหมือนเดิม ที่ร้านเดิม แต่วันนี้เจ้าของร้านพูดจาประหลาด ถามไถ่เรื่องราวมากมาย โดยเห็นหน้าก็ร้องบอกว่า “คุณ คุณ เมื่อวานนี้คุณอะไรกับไก่ตัวนั้น จำได้ไหม ไก่มันตกต้นไม้มาตายแล้ว (อันที่จริงไก่มันตายแล้วจึงจะตกต้นไม้ ได้อธิบายไปให้เจฟังเมื่อตอนที่เธอโทรมาถามไถ่ โดยวันแรกก็ถามว่าเห็นอย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร วันที่สองก็บอกว่าไก่ตายแล้ว) แล้วก็ถามไถ่กันมากมาย ที่สุดจึงได้ความว่า ที่เห็นนั้นนะ คนที่หวีผมเรียบแปล้คือน้องชายของเจ้าของร้าน ตายไปแล้วสองปี ไม่เคยฝัน ไม่เคยมีใครเห็น(นิมิต)เลย มาเมื่อคืนนี้ฝันเห็นน้องชายมาบอกว่าเกิดเป็นไก่อยู่ที่บ้าน ตอนนี้จะไปแล้ว ตื่นเช้ามาก็เห็นไก่นอนตาย เหตุที่น้องชายของเขาตายก็เพราะว่าวันนั้น เขาแต่งตัวเสียหล่อ หวีผมเรียบแปล้อย่างที่ว่า แล้วขี่รถเครื่องออกไปจะไปดูตีไก่ที่บ่อน ขึ้นเนินปากทางเสียหลักก็เลยโดนรถสิบล้อเหยียบตาย แล้วเรื่องก็เป็นอย่างที่เล่ามา

นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ได้อธิบายให้เจฟังว่า เป็นเรื่องของมรณาสันนวิถีจิต อย่างที่เคยสอนไป วันนี้ได้เห็นความจริงแล้ว จิตสุดท้ายห่วงอะไร เมื่อกรรมตัดรอน ก็ไม่มีเวลาเหลือพอที่จะดำเนินต่อไปอย่างที่ได้กล่าวไว้แต่ต้น ตายปุ๊บก็เกิดปั๊บ สัญญาของกรรมมันบอกว่าไก่ ส่วนสัญญาของห่วงมันบอกว่าบ้าน จึงไปเกิดเป็นไก่ที่บ้าน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

วันนี้เอาเรื่องมาเขียนพอให้ไม่เหงา ท่านทั้งหลายก็ลองเดาดูว่า จะวางจิตไว้อย่างไร ในเวลาที่นอนหลับพักผ่อนในเวลาค่ำคืน จะได้ถูกจุด อย่างวันนี้หลวงตาก็วางจิตไว้ดีแล้ว หลับไปแต่หัวค่ำ ทุ่มกว่าเกือบสองทุ่ม มาตื่นเอาห้าทุ่มเศษ คนแก่นะ เวลาตื่นก็ไม่หลับต่อได้ง่าย ก็ภาวนาที่สุดก็เห็นว่ามีเรื่องที่ตั้งไว้ค้างคาใจอยู่ คือที่จะเขียนเรื่องนี้ จึงตัดใจไม่นอนต่อละ ลุกมาที่ห้องหนังสือจัดการเขียนเสียให้จบ การงานจะได้ไม่คั่งค้าง คาเอาไว้ในใจ เดี๋ยวตายไป จะต้องมานั่งพิมพ์อยู่ในห้องเลยกลายเป็นผีพระเหี้ยนไป ฮึ ฮึ

อะนากุลา จะ กัมมันตา
การงานอย่าให้คั่งค้าง ถ้าตั้งไว้แล้ว ก็ต้องเร่งรีบทำเสียให้เสร็จ ไม่อย่างนั้นมันเป็นห่วง แล้วก็ต้องกลับมาเกิดในที่ที่ห่วงอยู่อีกนาน รู้แล้วก็อย่าให้อะไรต่อมิอะไรมันคั่งค้างละ เดี๋ยวเกิดไม่ตรงที่ต้องการจะเสียชาติไปเสียเปล่า

วันนี้พอเพียงเท่านี้ ถ้ายังไม่ถึงเวลาตายก็จะได้มีเวลามาเล่าสู่กันอีก นี่ก็ใกล้สว่างแล้วตีสามเศษสี่นาที ขมับก็เริ่มบีบปุ๊บๆ แล้ว ขอเพียงเท่านี้นะ

ขอบุญจงรักษาท่านผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธศาสดาผู้เป็นเอกของโลก ไม่มีใครเสมอเหมือนได้ ไม่ว่าจะอีกกี่ยุคกี่สมัย คำสอนของพระพุทธศาสดาทั้งหลายที่อุบัติแล้ว และจะมาอุบัติขึ้นใหม่ ย่อมเป็นไปในทางเดียวกัน แม้สาวกทั้งหลายที่ตรัสรู้ตามพระองค์ ย่อมเห็นในสิ่งเดียวกันเช่นกัน จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี้เป็นสัจจะ
สาธุ สาธุ สาธุ


ใส่รหัสที่นี่   
กล่องตอบด่วน
kittiyano

Reply Quote
 
Go to top
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1