ไขปัญหาธรรมบนเว็บบอร์ด

ยินดีต้อนรับ, ผู้เยี่ยมชม
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน.    ลืมรหัสผ่าน?

ไขปัญหาธรรม ตอน ว่ากันต่อเรื่องกรรม ชุดที่ 2
(1 viewing) (1) ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
Go to bottom
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1
หัวข้อ : ไขปัญหาธรรม ตอน ว่ากันต่อเรื่องกรรม ชุดที่ 2
#114
ไขปัญหาธรรม ตอน ว่ากันต่อเรื่องกรรม ชุดที่ 2 13 ปี, 2 เดือน ก่อน  
วันนี้ หลวงตาก็จะมาว่าเรื่องกรรมอีกนั่นแหละ


กรรมนะเป็นเรื่องเดียวของสรรพสัตว์ ที่ต้องศึกษาเรียนรู้ให้กระจ่าง อย่างที่ท่านอาจารย์ของหลวงตา ท่านได้แต่งบทประพันธ์ไว้บทหนึ่ง แล้วคุณประจวบ ก็นำมาขับร้องเป็นทำนองเพลง ชื่อว่า สัปเหร่อ จะลองขอท่านอาจารย์นำเอามาวางไว้ตรงนี้นะ เพื่อจะได้นำไปพิจารณากัน ท่านเขียนไว้ว่าอย่างนี้

...คนเรา มีกรรม เหมือนคำ พุทธภาษิต ว่า เกิดมา ใช้หนี้ชีวิต ลิขิตไปตามบาปกรรมสร้างมา เกิดมาเป็นคนบ้างมี บ้างจนเป็นธรรมดา เหมือน เป็น สัญญา โลกเรา นี้หนาเปรียบโรง ละคร เกิดมา ทุกคน ไม่พ้น ที่เชิง ตะกอน เหลือ ตัว ล่อนจ้อน ที่หลับ ที่นอน เหมือนกัน คือโรง
...คนเรา มีกรรม ต้องทำ กุศล ไว้บ้าง เพื่อ แบ่งเบาหนี้บาปตามล้าง คิดสร้างแต่บุญเป็นทุนเชื่อมโยง อย่าหยิบ อย่าฉวยหาทาง ร่ำรวยด้วยการ กินโกง แม้นตายเข้าโรงบาปกรรม เพราะโกงติดตาม เรื่อยไป ถึงเป็น เศรษฐีมั่งมี เงินทอง เพียงใด หมดลม แล้วไม่อาจนำ เงินไป ได้เลย สักคน
...เวรกรรม ตามทัน เห็นกัน ด้วยตา ก็บ่อย เข้า อยู่ใน คุกไม่ใช่น้อย ไม่ค่อย จดจำในความ ทุกข์ทน สวรรค์ ในอกและมี นรก ในดวง กมล ขอเตือน ทุกคนว่ามี หรือจนไม่เห็น สำคัญ หมดลม หายใจ แล้วไปนอนเรียงเคียงกัน ที่ป่า ช้านั่นไม่พ้น มือฉันพวก สัปเหร่อ


เป็นอย่างไรบ้าง ได้สติบ้างไหม รู้ไหม ที่คุณประจวบร่ำรวยมหาศาลนับเป็นพันล้าน ก็ด้วยติดตามท่านอาจารย์นี่แหละ ศึกษาธรรมะ เชื่อและศรัทธาในคำสอนของครูอาจารย์ และศรัทธามั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธศาสดา สร้างกุศลมากมายเพื่อใช้หนี้กรรม เมื่อบาปเวรลดลง ความยากจนก็เริ่มเดินหนี ยิ่งเพียรพยายามใช้หนี้ ที่สุดก็พ้นกรรม แต่ด้วยยังไม่ตั้งมั่นในพระนิพพาน ขอสร้างฐานให้มั่นคง เพื่อที่จะได้จรรโลงพระพุทธศาสนา เพื่อที่จะให้ได้เป็นแนวทางแก่คนอื่นๆ สืบทอดต่อยอดกันต่อไป เธอจึงเลือกทางเดินคือทำธุรกิจ สร้างกรรมดี และช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น และสร้างเสริมบารมีให้กับตนเอง ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ด้วยการเพียรพยายามสืบทอดมรดกทางพระพุทธศาสนาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกรูปแบบ

เน้นว่าทุกรูปแบบ เพราะว่าที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้น เรายังต้องเดินผิดเดินถูกจนกว่าจิตดวงนี้จะปล่อยวาง ถ้าไม่ศึกษาเรียนรู้จนจิตปล่อยวาง ก็จะติดค้าง อะนากุลา จะ กัมมันตา ตราบที่การงานยังคั่งค้างอยู่ แม้เราจะละทิ้ง แต่ในจิตนั้นไม่ละทิ้ง จิตยังปรารถนาที่จะกระทำให้สำเร็จ จะต้องกระทำให้รู้ผล เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตก็จะต้องเกิดในกรรมนั้นๆอีก ถ้าเป็นการเกิดในชาติเดียวกัน ก็นับว่าเป็นบุญยิ่ง แต่ถ้าต้องไปเกิดในชาติอื่นชีวิตอื่น สังสารวัฏก็ไม่จบสิ้น ต้องเกิดมาเพื่อชำระกรรมไม่รู้จบไม่รู้สิ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระทำกิจทั้งหลายให้จบ

ในวัยของเยาวชนที่กำลังเล่าเรียนศึกษา ก็ใช้ข้อ อะนากุลา จะ กัมมันตา นี้เพื่อดัดสันดานตนให้เป็นคนขยันหมั่นเพียร รู้จักทำกิจก่อนหลังให้จบสิ้น ไม่ตกค้าง เมื่อเจริญวัยขึ้น ชีวิตก็จะได้ไม่มีโทษ และเมื่อรู้เข้าใจในคำสั่งสอนนี้แล้ว เมื่อถึงวัยอันควร ก็จะได้ทำพระนิพานให้แจ้งได้ในชีวิตเดียว อย่างนี้จึงจะเรียกว่าไม่เสียชาติที่ได้เกิดมาในใต้ร่มพระพุทธศาสนา เรียนรู้ศึกษาชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือว่าเรียนรู้ด้วยมีครูอาจารย์ หรือมีผู้รู้ ประสิทธิประสาทวิชาสั่งสอนให้ ก็ได้ทั้งนั้น

ผู้มี ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา คือผู้ที่สร้างสมบุญไว้แล้ว ไม่ว่าจะเมื่อใด ชาติใด ชาติเก่าที่เราตามกำเนิดไม่รู้ ไม่ต้องนำเอามาคิด เอาแค่ชีวิตนี้ ชาติก็มีมากมาย เมื่อวานก็คือชาติที่แล้วแล้วละ พูดอย่างนี้น่าจะเข้าใจได้ตรงกัน ก็ถ้าเมื่อกี่นี้ เราได้ทำกุศลไว้แล้ว ก็เรียกว่ามี ปุพเพ จะ กะตะปุญญตา แล้วละ เมื่อมีบุญแล้ว เราก็เริ่มที่จะได้รับผลของบุญ คือเริ่มที่จะเดินทางได้ตรงขึ้น ยิ่งถ้าสร้างบุญอยู่เป็นประจำ ก็จะยิ่งดีขึ้น ดีขึ้น เรื่อยๆ ที่สุดเมื่อบุญพร้อม มรรคพร้อม ก็สมังคีกัน ผลก็ตอบสนอง ไม่เห็นจะต้องไปเรียกร้องเบิกบุญเลย ใครนะช่างเป็นคนสอน สอนให้เบิกบุญ แต่ไม่สอนให้สร้างบุญ สร้างบุญไว้เป็นประจำ ไม่ต้องเบิก ไม่ต้องถอน ที่ผ่านมามีแต่ตัวแดง เกินบัญชีอยู่แล้ว ได้เกิดเป็นคน ก็เพราะว่ามีบุญหนุนส่งมา เกิดแล้ว ก็หมดแล้วบุญ ดูอย่างบางรูปบางนาม ยังไม่ทันได้เกิดเลย บุญมีแค่ได้มาปฏิสนธิ เจริญอยู่ได้ไม่นาน บุญก็หมด ต้องถูกทำลาย ต้องตายก่อนที่จะได้ลืมตาดูโลก บ้างก็ได้เกิดมาพร้อมกับกรรม พิกลพิการ มีโรคติดตัวมาด้วย บ้างก็ต้อง คลอดก่อนกำหนด ต้องอบต้องรักษากันมากมาย ก็ด้วยคำว่าบุญทั้งสิ้น บุญมีมาน้อยแทบจะไม่พอเกิด หรือไม่พอเกิดกันทีเดียว ก็มีให้เห็นมากมาย

ฉะนั้นที่เกิดมาเป็นตัว มีอาการครบบริบูรณ์ แล้วไม่รู้จักสร้างบุญต่อ เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับกรรม พอถึงเวลา ก็ต้องร้องหาเบิกบุญ คนสอนนะระวังไว้ให้ดี ถึงเวลาใกล้ตาย จะอาตัวรอดได้ไหมหนอ เพราะว่าสอนให้เขาเบิกบุญ เท่ากับเอาบุญที่มีไปค้ำประกัน เมื่อใช้หนี้ไม่ทัน คนค้ำประกันก็หมดตัว แล้วจะเอาอะไรเหลือเป็นแรงส่ง อย่าว่าแต่มนุษย์เลย คงต้องไปเกิดในที่ที่ต่ำดำมืดมองไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน ดุจดังคนตาบอด เพราะว่าสอนผิดๆกัน ชาตินี้ชีวิตนี้มีความสุข มี ลาภ มียศถา บูชา สรรเสริญ แต่กรรมของตัวเจ้าของเอง ไม่มอง ที่ไม่มองนะเพราะว่ามองไม่เห็น มันมืดบอด เปรียบเหมือนมืดบอด เลยมองไม่เห็น ได้แต่คลำๆ แล้วก็เดาๆ ว่านี่เราสร้างบุญมากมายสอนคนให้เอาตัวรอดด้วยการเบิกบุญ ลาภสรรเสริญมันปิดตา พาให้ระเริงหลง จมอยู่ในโลกียะธรรม จนขาดความรู้ที่จะนำตัวเองให้รอดพ้น ถูไถเอาข้างเข้าครูด เพราะกรรมหนักมันใหญ่ มองไม่ค่อยจะเห็น นึกเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นี่เพราะกิเลสตันหามันบังตา ที่เพียรมามันจึงหมดไปกับการแสวงหาลาภสรรเสริญ

เห็นมาหลายคนแล้ว เวลาสอนให้สร้างกุศล ก็บอกว่าทำมามาก ตอนนี้เบิกบุญมาทำ กิจการรุ่งเรือง หนังฝาหรั่งเขาก็ทำให้เห็นว่าต้องขายวิญญาณ เธออยากได้อะไร ซาตานจะให้ เพียงเซ็นสัญญาขายวิญญาณมา คนที่สอนอย่างนั้น ทำอย่างนั้น นั่นแหละเซ็นสัญญาขายวิญญาณให้เขาแล้ว มีที่ไหนเบิกเกินได้โดยไม่ต้องเซ็นสัญญา ไม่มีดอก ในโลกชีวิตปัจจุบัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเซ็นสัญญา บ้างก็มีสัญญาลับหลัง เซ็นเสร็จ เสียดอกแล้ว นึกว่าจะได้เต็ม ถูกหักแล้ว แถมดอกที่ตามมาหนักเสียยิ่งกว่าแบกเกลือ แล้วชีวิตจะเหลืออะไร ช่างเขลาเบาปัญญาเสียจริง ไม่มีดอกเบิกได้ถอนได้ บุญไม่มีอย่างนั้น บุญต้องทำให้ท่วมจึงจะส่งผลได้ ตราบใดที่บุญยังไม่ท่วม ยังเบาหนึ้ไม่ได้ ก็ยังไม่ส่งผล จะส่งผลบ้างก็เพราะอกุศลมันเบาในช่วงนั้น บุญที่มีอยู่น้อยมันเกิดล้ำขึ้นมาก็เลยส่งผล ถ้ารู้จักจังหวะ ก็ต้องรีบฉวยโอกาสสร้างให้มากเพื่อกลบ สร้างได้มากเท่าใดในจังหวะนั้น ก็มีโอกาสพ้นหนี้ได้เร็ว

จึงบอกว่า ต้องหมั่นเพียรสร้างเพื่อให้เป็นทุนให้ได้ เมื่อไหร่ที่เป็นทุน ก็ไม่ต้องเบิก ไม่ต้องกู้ยืม ชีวิตก็เป็นสุข หมั่นสร้างต่อไปเรื่อยๆ ให้ท่วมท้น ก็พ้นทุกข์ภัย ชีวิตมีบุญ ก็เปรียบได้ดังมีตัวช่วย ทำมาหากินไม่เหนื่อย ขยันสร้างทานเมื่อมีบุญแล้ว ทานที่สร้างก็ส่งผลเป็นทวี ผลที่ได้ก็มีโอกาสเป็นเศรษฐี ไม่ต้องไปถามหาว่าฉันสร้างกรรมอะไรไว้เมื่อชาติก่อน มีคนบอกได้หรือ น้อยนัก ที่บอกกันก็อิงตำราทั้งนั้นแหละ ที่จะเห็นกรรมของผู้อื่นได้นะไม่ใช่ง่ายดอก ส่วนใหญ่ก็จะบอกไปตามเหตุตามผล ฉะนั้น ก็ไม่ต้องไปถามไถ่ใครๆ ดอก สร้างเอง ทำเอง รับรองว่าส่งผลเร็ว ไม่ต้องเสียค้าเบิกทาง ไม่ต้องเสียค่านำทาง เดินเองถึงเอง เร็วด้วย เชื่อและศรัทธาในคำสอนขององค์พระพุทธศาสดาเถอะ ไม่ผิดแน่ ลองเอาเนื้อบทประพันธ์ข้างบนไปพิจารณาแล้วจะเห็นเอง

พระพุทธองค์ผู้เป็นจอมมุนี สั่งสอนเอาไว้แล้ว ถ่ายทอดเอาไว้แล้ว อย่าเชื่อ แม้คำสอนขององค์พระศาสดา จงนำไปพิจารณา ลงมือศึกษาปฏิบัติ เมื่อเกิดผลแล้ว ท่านนะเเหละจะรู้เอง เหมือนเมื่อตอนที่แล้วไง ท่านพระอานนท์อยู่ข้างกายพระพุทธองค์ อุปฐากอยู่จนพระองค์ปรินิพพาน ยังไม่รู้เลย จวบจนได้ลงมือเอง จึงถึงที่แจ้ง หลวงตาถึงได้บอกไว้ตลอดเวลาว่า “เรียนนะเป็นเพียงสัญญา รู้เมื่อไรจึงจะเป็นปัญญา” ก็มีคนบอกว่าบ้าเยอะ ไม่เรียนจะมีปัญญาได้อย่างไร เฮอะเฮอะ เรียนนะมันก็แค่จดจำ ไม่ลงมือทำเมื่อไรๆก็ทำไม่เป็น ทุกวิชา ตั้งแต่ขี้ข้าไปกระทั่งหมอ ลองไม่ลงมือทำให้คล่อง มันก็แค่รู้เท่านั้น ทำไม่เป็น คนที่เรียนรู้แบบ ครูลักมักจำ นะ เขาเก่งได้เพราะเขาทำอยู่แล้ว พอไปเจออะไรที่ไหนเข้าท่า ก็เพราะเป็นคนชอบ(มัก แปลว่า ชอบ) จดชอบจำอยู่แล้ว พอเห็นเขาทำอะไรก็เลยลักจำของเขามา แล้วก็มาลงมือทดลอง แก้ไขดัดแปลงไปตามถนัด ก็มีวิชาได้ ดีด้วย เพราะว่าเป็นอยู่แล้ว ด้วยเพราะว่ามีปัญญาเป็นทุนเดิม พวกที่ด่าว่าหลวงตาว่าสอนเลอะเทอะ นะ ท่านก็เอาแต่จำตำรา ทำไม่เป็น ไม่เคยทำ ทำไม่ถูก เดินตามโดยไม่รู้จักการพัฒนาเพื่อให้เข้ากับตัวเจ้าของ แล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่า ที่บอกก็ไม่เคยบอกว่าต้องทำอย่างนี้นะอย่างนั้นนะ บอกแต่เพียงว่า นี่เป็นวิธีการที่หลวงตาทำมา ส่วนท่านทั้งหลาย จะเอาไปทำอย่างไร ก็เชิญเถิด ไม่ได้หวงห้าม ไม่ได้บังคับ ทำตามท่านพระพุทธศาสดาที่บอกว่าอย่าเชื่อ ต้องลงมือเอง หลวงตาก็ไม่เชื่อแล้วก็ลงมือเอง ค้นคว้าจนได้ผลกับตัวเอง เน้นนะว่าได้ผลกับตัวเอง แล้วก็บอกต่อ ตามที่องค์พระพุทธศาสดาท่านสั่งสอนไว้ว่า รู้แล้วให้บอกต่อ สัญญากับท่านไว้ว่าอย่างนั้น ถ้ารู้แล้วจะบอกต่ออย่างไม่ปิดบังเหมือนอย่างที่พระองค์ท่านบอกต่อแก่ใครๆ มากมายในสมัยของพระองค์ท่าน ในเมื่อเรารู้เราก็จะมีศรัทธามากมหาศาล เราก็จะไม่ทำให้ท่านพระอาจารย์จอมมุนีต้องเสียหาย บอกต่อในสิ่งที่ได้ทดลองมาดีแล้ว ได้ผลแล้วกับตัวเรา ส่วนท่านทั้งหลาย จะนำไปต่อยอด ปรับปรุงพัฒนาเพื่อให้เข้ากับจริตท่านอย่างไร ก็เป็นธุระของท่านที่จะต้องทำ เพราะถ้าท่านไม่ทำแล้วท่านจะรู้ได้อย่างไร แล้วจะเอาไปบอกต่อได้อย่างไร ท่านไม่น้อมเข้าใส่ตนเอง ไม่เพียรให้รู้ แล้วจะ เอหิ บอกต่อแก่ผู้อื่นได้อย่างไร

ปัจจัตตัง เสียก่อน โอปะนะยิโก สันทิฏฐิโก อะกาลิโก ให้ถึงพร้อมแล้วศรัทธามหาศาลก็เกิดขึ้นกับท่านได้ เมื่อนั้นละท่านก็จะบอกต่อได้ว่าคำสอนของพระพุทธศาสดาดีอย่างไร มั่นคง ไม่ต้องแต่งเพิ่ม ไม่ต้องพัฒนาแล้ว พัฒนาที่ตัวเจ้าของเอง แล้วก็จะรู้ว่า พระธรรมนั้นใดที่องค์พระพุทธศาสดาได้ตรัสสอนไว้ดีแล้ว ต้องน้อมนำมาใส่ตัว ปฏิบัติอย่างจริงจัง พัฒนาเพื่อให้เข้ากับจริตตนจึงจะรู้ได้

วันนี้เอาเท่านี้นะ ยาวมากเลย สงสัยต้องให้เว็บมาสเตอร์ ทอนลงบ้างละนะ ถ้าทอนไม่ไหว จะแบ่งตอนก็เอาเถอะตามแต่ท่านเถอะ ไม่ว่าอะไร ท่านเป็นผู้มีสิทธิสมบูรณ์ เหมือนอย่างเดิม ถ้าไม่วายชีวาวาตม์ ก็คงจะได้กลับมา ทำให้หน้าเลอะเนื้อที่ไม่ว่างอีก ถ้าหมดลมแล้วก็หมดกันอย่าห่วง

ขอบุญจงรักษาทุกๆท่าน หลวงตา



ใส่รหัสที่นี่   
กล่องตอบด่วน
Kittiyano

Reply Quote
 
Go to top
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1