ไขปัญหาธรรมบนเว็บบอร์ด

ยินดีต้อนรับ, ผู้เยี่ยมชม
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน.    ลืมรหัสผ่าน?

พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
(1 viewing) (1) ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
Go to bottom
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1
หัวข้อ : พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
#134
พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน 12 ปี, 10 เดือน ก่อน  
พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สาสนะ คือ คำสั่งสอน
ศาสดา คือผู้สั่งสอน


พุทธศาสนา คือคำสั่งสอนของพระศาสดาผู้ทรงเป็นผู้รู้ยิ่งในไตรลักษณ์ ฯ ทรงเป็นผู้ตื่นแล้วจากความเขลาทั้งมวล ทรงเป็นผู้เบิกบานสว่างไสวไร้รอยมลทินแล้ว ไม่เศร้าหมองอีกแล้ว ไม่ขลาดกลัว ไม่หวั่นไหว ไม่สะดุ้ง ไม่ต้องระวังภัย ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดๆ อีกแล้วในจักรวาล ฯ

ฉะนั้น การได้เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา จึงเป็นการเริ่มต้นเดินทางเข้าสู่เส้นทางของผู้อาจหาญ แต่ก็เป็นธรรมดา สิ่งใดเลิศ สิ่งนั้นย่อมต้องมีมารเป็นธรรมดา สิ่งใดวิเศษ ย่อมต้องมีผู้ปรารถนามากเป็นธรรมดา เมื่อปรารถนา ย่อมต้องมีอุบาย มากบ้าง น้อยบ้าง นี้ก็เป็นธรรมดา

พระพุทธศาสดา ทรงสอนเอาไว้แล้วถึงการวางอุบาย โยนิโสมนสิการ คือการกระทำกำหนดเป้าหมายแห่งการศึกษาของตัวเจ้าของไว้ในจิตอย่างแยบคาย ด้วยการใช้ปัญญาอันบริสุทธิ์ค้นหาวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะให้การศึกษานั้นประสพความสำเร็จตามความปรารถนาได้ในที่สุด

ก็ด้วยคำเดียวกัน ย่อมเป็นธรรมดาของผู้ที่มีจิตมาร ย่อมวางอุบายในการศึกษา ด้วยเพราะมีความปรารถนามากในฝักฝ่ายอันเป็นลามก มีจิตมุ่งมั่นในการที่จะศึกษาให้มากเพียงหวังประกาศที่เป็นอักษร เพื่อจะได้นำไปอวดโอ้ ประโคมกล่าว ยกตนเป็นผู้ทรงปัญญา เพราะเหตุแห่งสังคมในยุคสมัยใหม่ ไม่มีใครชอบที่จะรอเวลาพิสูจน์ แต่ชอบที่จะอวดโอ้ ด้วยมีประกาศอันเป็นอักษรเป็นเครื่องมือในการรับรอง นี่เป็นธรรมดาของฝ่ายโลก และก็ได้นำมาใช้กับฝ่ายธรรมด้วย จึงเป็นธรรมดาเมื่อผู้สอนและผู้เรียนมีปรารถนาเฉกเช่นเดียวกัน สำนักต่างๆ จึงได้เกิดขึ้นมากมาย การศึกษาฝ่ายธรรมจึงเป็นการศึกษาแบบโลกๆ แล้วจะหาดีได้นั้นยาก เพราะการศึกษาแบบโลกๆ หวังเอาผลของการศึกษาเพียงระดับโลกมาแสดงออก ส่วนการศึกษาในระดับธรรม ก็เปลี่ยนความหมายไป เอาเพียงความเข้าใจในระดับโลกมากำหนดธรรม แล้วก็อุปโลกน์ (อุปโลก-ทีปนียธรรม= อุป-โลกะ-ทีปะนีย-ธรรม ธรรมอันนำเอาความเป็นโลกๆมาเปรียบเทียบนัยทำให้เกิดความกระจ่างเข้าใจ) ว่าเป็นที่เข้าใจเช่นนั้น ซึ่งในอันที่จริงแล้ว หาเป็นเช่นดังว่านั้นไม่ เพราะธรรมแบบโลกๆนั้น ยังนับว่าเป็นธรรมชั้นต่ำ การเอามาเทียบกับธรรมชั้นสูงที่เรียกว่า โลกุตรธรรมนั้น เทียบกันไม่ได้

โลกุตรธรรมนั้น เป็นธรรมที่พ้นวิสัยโลกแล้ว เข้าใจได้ด้วยการเจริญธรรมในชั้นจิตที่ต้องยกขึ้นในระดับสูง ปุถุชนผู้รักษาศีลห้ายังไม่บริสุทธิ์ ยังเข้าใจศีลห้าอย่างคลาดเคลื่อน ศึกษาศีลห้าเพียงตามคำแปลเท่านั้นไม่พอ ต้องเอาจิตที่ยกระดับแล้วขึ้นมาศึกษา จึงจะเข้าใจได้ จะเห็นได้ว่า คนแม้จะเรียนสูงระดับใด ศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์พระพุทธศาสดามามากน้อยเพียงใด ถ้ายังติดยึดอยู่ในธรรมชั้นโลก ก็จะไม่ไม่มีโอกาสที่จะยกจิตขึ้นสู่ธรรมชั้นโลกุตรธรรม และถ้ายิ่งยึดติดในตัวตน ข่มท่าน ตั้งมั่นว่าตนมีการศึกษาแบบโลกๆแล้วดูหมิ่นพระสงฆ์องค์เณร ก็อย่าหวังที่จะได้รับรู้ธรรมในระดับโลกุตรธรรมเลย แม้จะเรียนเร่งเพ่งเพียรศึกษาอย่างไร ก็ขาดซึ่งบุญญาธิการที่จะศึกษาโลกุตรธรรม

ฉะนั้น ก้าวแรกแห่งการศึกษาพระพุทธศาสนา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจ เข้าถึง และมีความละเอียดรอบคอบ กำหนดรู้ในหลักแห่งศีลมนุษย์ คือศีลห้าข้อของชาวพุทธให้ได้เสียก่อน ตราบเท่าที่ยังไม่เข้าใจในศีลห้า ย่อมไม่สามารถที่จะยกจิตขึ้นศึกษาหลักธรรมชั้นสูงในพระพุทธศาสนาได้ แม้จะผ่านการศึกษาในระดับใดๆ กระทั้งจบมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนพระพุทธศาสนา ก็ยากที่จะเข้าใจเข้าถึงโลกุตรธรรม อันเป็นธรรมที่พ้นวิสัยโลกแล้ว

จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนาในรูปแบบเรียนรู้มาจากตำรา คิดวิเคราะห์แบบโลกๆ ย่อมเข้าใจคำสั่งสอนแบบโลกๆเท่านั้น ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาในระดับธรรม ก็เพราะตัวเดียว คือศีลไม่บริสุทธิ์ แม้พระสงฆ์องค์เณรที่ได้เรียนรู้จนถึงระดับสูงสุดเท่าที่จะมีการเรียนการสอนกัน ก็เรียนได้เพียงแค่ระดับโลกเท่านั้น แต่การเรียนการสอน ก็กล่าวถึงธรรมระดับสูง และมีการศึกษากันแบบละเอียดจากตำราหรือจากฎีกาจารย์ หรือโบราณจารย์ จากหนังสือธรรมมากมาย จากประสบการณ์ หรือการบอกเล่าสืบทอดองค์ความรู้ของครูอาจารย์สายปฏิบัติ ก็เรียนได้เพียงแค่รู้เท่านั้นเอง แต่ไม่อาจเรียนรู้ในระดับปัญญายิ่งได้ แต่ก็จะมีการกล่าวอ้างว่าเป็นปัญญาชน รู้หลักรู้ธรรมในระดับนั้นระดับนี้ หรือแม้กระทั้งยกตนขึ้นเป็นพระพุทธเจ้า เที่ยวตัดสินนักปฏิบัติว่ายังไม่ได้ธรรมระดับนั้นระดับนี้ เป็นผู้หลง ด้วยการใช้ตำราเป็นการเทียบ เห็นเพียงแค่เปลือก ยังไม่รู้กระทั้งเนื้อ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงเทียบการศึกษาพระพุทธศาสนากับต้นไม้เอาไว้แล้ว บุคคลเหล่านี้ ก็เทียบได้เพียงแค่เศษของเปลือกไม้ที่ล่วงหล่นเท่านั้น เทียบไม่ได้แม้กระทั่งกิ่งใบของพันธุ์ไม้ที่มีความงดงามตามธรรมชาติ

ส่วนในบางคนบางท่าน ก็ได้ทำการศึกษา และเพียรเพ่งลงมือปฏิบัติค้นหาสภาวะจิตด้วย แต่เพราะได้เรียนรู้ตำรับตำรามาก่อน จึงทำให้จิตนั้นดิ้นรนรู้นำสภาวะจิตที่จะเกิดขึ้น จึงไม่อาจที่จะเข้าไปให้ถึงธรรมชั้นสูงได้

การที่จะให้เข้าถึงธรรมชั้นสูงในคำสอนขององค์พระศาสดานั้น ต้องมีความบริสุทธิ์ของจิตในระดับธรรมก่อน จะอาศัยจิตที่มีเพียงระดับโลกมาศึกษาทดลองปฏิบัติในระดับธรรมนั้น อย่างไรเสียก็เป็นไปได้ค่อนข้างยาก จิตที่จะศึกษาระดับธรรม ต้องเป็นจิตที่เบาไม่ยึดเกาะกับสิ่งใดๆ แม้การศึกษาที่ได้เรียนมาก็นำมาเทียบไม่ได้ คำสั่งสอนใดๆ ก็นำมาเทียบไม่ได้ เพราะพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเอาไว้แล้วว่า แม้สิ่งใดๆ ก็ไม่อาจเชื่อได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคำสอนของพระองค์เอง จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ก็ยังทรงกำหนดเอาไว้แล้วว่า ไม่ให้เชื่อ นั่นหมายความว่า ต้องทำจิตให้ว่างเปล่า แล้วตามรู้ดูสภาวะของการดำเนินไปแห่งจิตทีละเล็กทีละน้อย ทีละขั้นทีละตอน ไม่อาจที่จะนำเอาสิ่งใดๆ มาเป็นตัวเทียบได้เลย และเมื่อได้ดำเนินไปได้แล้ว ก็ต้องไม่เชื่ออีกเช่นกัน เพราะนั่นก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง จนกว่าจะได้ทดสอบทดลอง และสอบเทียบสภาวะของจิตนั้นๆ กับผู้รู้ที่ได้ฝึกฝนมาก่อนแล้ว จึงจะสามารถเข้าใจ ต่อเมื่อได้ปฏิบัติไปเป็นนิจ ในสภาวะธรรมชาติต่างๆ และผลของธรรมในระดับจิตนั้นๆ ย่อมต้องไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จึงจะพออนุมานได้ว่า อาจเป็นเช่นนั้นจริง นี้เป็นคุณวิเศษ เป็นศาสตร์และศิลป์ของพระพุทธศาสนา ถ้าแม้นว่า การอ่านเรียนตำราแล้วเข้าใจ ก็ไม่ต้องมีใครๆ ในที่ไหนๆ ลงไปในแม่น้ำลำคลองหนองบึงหรือบ่อสระ เพื่อทำการหัดว่ายน้ำ ก็ไม่ต้องมีสนามเอาไว้ฝึกซ้อมกีฬา ไม่ต้องมีห้องฝึกซ้อมดนตรี ไม่ต้องมีผู้ชำนาญการผ่านประสบการณ์มากมาย มาถ่ายทอดสอนต่อ และทำการควบคุมการฝึกฝน เพราะว่าทุกคนเรียนได้จากตำรา

วันนี้ หลวงตา นำเอาเรื่องเบื้องต้นแห่งการตั้งจิตเพื่อที่จะศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์พระพุทธศาสดา มากล่าวไว้ เพื่อที่จะได้เตือนจิต เตือนใจ นักเรียน นักศึกษา ทั้งหลายที่ต้องการที่จะศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะในระดับใด ก็ต้องทำจิตทำใจให้ได้เสียก่อน โยนิโสมนสิการ เป็นธรรมข้อแรกที่จะต้องนำมาใช้ แล้วเมื่อตั้งเข็มได้ถูกแล้ว ก็จะได้เดินตรง เพราะว่าที่เดินหลงนั้น มีมากมายเกินกว่าความจำเป็น ที่เห็นเดินถูกเดินตรงนั้นน้อยนักนับตัวได้ ที่เดินผิดเดินเพี้ยนนั้น มีมากมายมหาศาล เหนือที่จะคะเนนับได้ เดินทางสายนี้มาไม่นาน ด้วยเพราะมีปรารถนาอันลามกแอบแฝงอยู่ในจิต ที่สุดก็ลาจากความเป็นพุทธ เดินสู่สายทางที่มีเพื่อนมาก ไม่เดินแล้วเส้นทางสายเปลี่ยว ไม่มีแม้แต่กระทั่งปัญญาที่จะเหลียวมาดูสิ่งที่ผ่านมา ตรงข้ามชอบที่จะเดินทางยาว ก็ด้วยเพราะความเขลา ความเบาของปัญญา ตั้งเข็มเอาไว้ผิด ทุ่มเทลงทุนลงแรงไปก็มาก อุตส่าห์ลำบากมาก็นาน ที่สุดก็แพ้มารที่มีอยู่ในจิต คิดผิดคิดใหม่ไม่ได้ ก็มีแต่สบาย รอดจากทางสายเปลี่ยวไปได้ ไม่สามารถผ่านการทดสอบของสภาวธรรมที่ต้องการเฉพาะของแท้เท่านั้น ไม่อาจนำเอาของเทียมมาเจือปนได้ มีอย่างนี้มากมาย เหตุเพราะมาเดินทางสายเปลี่ยวอย่างมีปรารถนาลามก ไม่อาจข้ามพ้นโลกธรรมได้

หลวงตาขอจบวันนี้เพียงนี้ก่อน ขอบุญจงรักษาผู้บำเพ็ญบุญเพื่อยังความเจริญให้ปรากฏในคำสอนขององค์พระพุทธศาสดา


ใส่รหัสที่นี่   
กล่องตอบด่วน
Kittiyano

Reply Quote
 
Go to top
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1