ไขปัญหาธรรมบนเว็บบอร์ด

ยินดีต้อนรับ, ผู้เยี่ยมชม
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน.    ลืมรหัสผ่าน?

ทางสายเปลี่ยว
(1 viewing) (1) ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
Go to bottom
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1
หัวข้อ : ทางสายเปลี่ยว
#135
ทางสายเปลี่ยว 12 ปี, 10 เดือน ก่อน  
ไม่ว่าสัตว์ใดๆ แม้ในสามสิบเอ็ดภพภูมิ ต่างก็มีจิตเป็นของของตน ตัวเจ้าของเองเท่านั้นที่รู้ดี น้อยนักที่จะกล้าตีแผ่จิตของตนออกสู่สาธารณะ นี่ก็เพราะว่า ตัวเจ้าของและจิตนั้นๆ ยังไม่ประสานเป็นหนึ่งเดียว และก็ยังไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ยังพัวพันกันอย่างอีลุงตุงนังยิ่งกว่ารกชัฏ ชัฏที่ว่ารกแล้วนั้น ยังอาจสามารถขจัดออกได้โดยไม่ยาก แต่รกที่จิตและกายนี้ ดูเสมือนหนึ่งว่า จะไม่มีพิษสงอะไร แต่โดยจริงแล้ว รกนั้น ร้ายเสียยิ่งกว่าความโหดร้ายใดๆ

มนุษย์หนึ่งคน ก็มีจิตเพียงหนึ่งเดียว แต่พฤติของจิตนั้น มีมากมายมหาศาลนัก สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปมา อย่างที่เรียกว่าหาตัวหลักให้จับได้ยากเหลือ เพียงหนึ่งจิต สามสมัย ร่วมกับกายหยาบ ก็สามารถเปลี่ยนสภาพจากหนึ่งเป็นเกินร้อยได้ในทันที แม้ตัวเจ้าของเองก็ยังไม่ทันหนึ่งในร้อยนั้นอย่างถูกต้องตรงจริง

ที่หลวงตาอาจหาญกล่าวเช่นนี้ ก็เพราะได้เคยเห็นความผันแปรเปลี่ยนไปของจิตหนึ่งของหนึ่งเจ้าของ ร้องโอดครวญว่าทุกข์ขนัด รู้ทุกข์นั้นแล้ว เพียงแค่เหลียวกลับ ก็เปลี่ยนสภาพเป็นมารร้ายทันที จิตเยี่ยงนี้มีมากมายจนไม่อาจจะบอกได้ว่าเท่าไร จึงได้มีศาสตร์เฉพาะขึ้นมาอีกหนึ่งศาสตร์ คือ นรลักษณ์ศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่มีการรวบรวมเอาลักษณะ รูปร่าง ใบหน้า ท่าทาง สำเนียงเสียง แม้กระทั่งผิวพรรณ และอีกมากมายของหมู่สัตว์ แม้สัตว์ที่เรียกว่ามนุษย์ก็รวมอยู่ด้วย เจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยะวงศ์ ก็ได้ถูกทำนายแล้ว โดยพราหมณ์หนุ่มชื่อ โกณฑัญญะ ผู้ซึ่งมีอายุเพียงสิบหกชันษาเท่านั้นเอง

นั้นก็เป็นการทำนายลักษณะที่เป็นเอกอย่างเด่นชัด ว่าทารกน้อยฯ จะได้สำเร็จเป็นพระศาสดานำหมู่มวลมนุษย์ชาติให้ข้ามพ้นโอฆะได้ ท่านโกณฑัญญะนั้น ท่านรู้ได้อย่างไร แม้บิดาท่านผู้ซึ่งมีความช่ำชองมานาน เป็นอาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชาให้ท่านเองก็ยังไม่อาจตัดสินได้ว่า จะเป็นทางไหนแน่ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าเป็นมหาจักรพรรดิ หรือเป็นผู้พลัดพรากจากบ้านจากเมืองสำเร็จเป็นจอมมุนีผู้มีคุณยิ่ง จะคะเนว่าท่านอัญญาโกณฑัญญะมีความสามารถยิ่ง สามารถเข้าไปล่วงรู้ความปรารถนาของเจ้าชายน้อยหรือ ก็ไม่น่าใช่ เพราะหมู่พราหมณ์ที่มาด้วยกันนั้น ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษเป็นผู้มีอายุผ่านประสบการณ์มามากมายล้วนเป็นบรมครูของท่านโกณฑัญญะพราหมณ์น้อยทั้งสิ้น

แล้วเพราะเหตุใดเล่า ท่านโกณฑัญญะจึงกล้ากล่าวเช่นนั้น ทั้งที่คณะพราหมณ์ทั้งหมดต่างก็ลงความเห็นเป็นทิศทางเดียวกันว่า จะได้เป็นมหาจักรพรรดิ นั่นก็เพราะว่าท่านยังบริสุทธิ์อยู่ ยังไม่ติดในลาภสรรเสริญ ยังเป็นพราหมณ์หนุ่มที่มีอุดมการณ์ มีความเป็นพราหมณ์ผู้ทรงศีลอยู่เต็มจิตนั่นเอง

มีคนจำนวนไม่น้อย ที่เมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอนพร้อมทั้งพุทธประวัติ ก็ตั้งปรารถนาจิตเป็นลามก อยากเป็นใหญ่เหนือใครๆ ปรารถนาพุทธภูมิ อันหมายถึงปรารถนาที่จะเกิดในชาติใดชาติหนึ่งแล้วสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนานั้นมันมาจากจิตที่เป็นลามก เป็นจิตที่ต่ำทราม ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงสอนสั่งให้รู้ตาม กลับมองข้ามความเป็นอนุพุทธ ปรารถนาทางสายเปลี่ยว เพื่อที่จะได้เดินทางรวดเดียวถึงที่หมายภายในชีวิตที่ได้เกิดมาภายใต้พระศาสนาของพระองค์ แต่กลับเรียนมาก รู้มากเลยยากนาน ที่ยากนานเพราะมันเป็นปรารถนาลามก อยากใหญ่ มิใช่อยากพ้นทุกข์

หลวงตาเคยพบเห็นคนเช่นนี้มากมายหลายคน เมื่อมองไปที่เขาแล้วเพ่งพิจารณา ด้วยภูมิรู้เพียงเล็กน้อยในนรลักษณ์ศาสตร์ ก็สามารถบอกได้เลยว่า ที่พึ่งข้างหน้าของคนเหล่านั้น ล้วนต้องจองจำไปอีกนานนับได้หลายๆ อสงไขย แล้วเมื่อไรหนอ คนเหล่านี้จะทำตัวให้ดีได้ ก็เพียงแค่ความฝัน มันก็ทำลายคนเหล่านั้นแล้ว ปัญญาที่จะคิดสักนิดว่า จิตนี้เดินทางมายาวนาน ได้พบพานเพียงแค่พระศาสนาของพระพุทธองค์ ก็เป็นบุญโขยิ่งนัก เร่งรีบขจัดปัดเป่าเผากิเลสในตนให้สามารถนำตัวหลุดพ้นนรกได้ก็เป็นมหากุศลแล้ว ตรงข้ามคนเหล่านั้น เมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอน กลับไม่มีจิตที่เป็นกุศลปรารถนาพ้นทุกข์ กลับกลายเป็นว่า ปรารถนาลามก หวังเทียบเท่าตีเสมอครูอาจารย์ เมื่อความฝันนั้นบังเกิดขึ้น ก็นึกเลยเถิดไปว่าตัวได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยกตัวเสมอไม่พอ กลับย่ำเหยียบพระสงฆ์องค์เณร ว่ามีดีไม่เท่าตัว ดีแค่หัวโล้นห่มผ้าเหลือง แต่ไม่มีปัญญา อภิโธ่ ก็แม้ ปัญญาที่มีในตัวตนของเจ้าของนั้น มันก็ยังไม่สามารถคิดดีได้ ประสาอะไรจะทำให้พ้นทุกข์แค่ชั่วขณะก็ยากยิ่งสิ่งเดียวแล้ว ในทุกขณะจิตล้วนมีแต่ริษยา ตั้งหน้าตั้งตากล่าวหาพระสงฆ์องค์เณรเป็นนิจ แล้วจิตดวงนั้นจะได้เดินทางไปถึงหรือพุทธภูมินะ นรกหมกไหม้ในอเวจีนั้นยังไม่พอเพียง ต้องหลุดออกไปถึงขอบจักรวาล อยู่อย่างมืดมนอนธการ เกาะขอบจักรวาลนานเท่าไรกี่อสงไขย นับไม่ไหวดอก

หลายจิตที่ได้ศึกษาพุทธประวัติ แล้วก็ตีความเอาเองตามกิเลสตน ว่าคนอย่างเราก็มีดี ไม่แพ้ท่านสุเมธดาบส อภิโธ่อภิถัง แค่จะก้มหลังนอบน้อมต่อพระสงฆ์องค์เณรยังทำไม่ได้ แล้วจะให้หมู่คณะของพระอริยะเจ้าที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฯ เดินนำเหยียบหลังข้ามทางที่เฉอะแฉะแม้เพียงน้อยนิดทั้งคณะ จะทำได้หรือ ท่านสุเมธะ ท่านเป็นดาบส ท่านบำเพ็ญเพียรด้วยปรารถนาพ้นทุกข์ ท่านไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฯ ในยุคของท่านดอก ต่อเมื่อได้เดินทางสวนกัน ท่านก็เกิดความเลื่อมใสอย่างล้นพ้น ด้วยเห็นลักษณะของพระพุทธองค์ฯ จึงได้ตั้งปรารถนาที่จะหลุดพ้น ให้ได้เกิดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าฯ แม้ในชาติใดชาติหนึ่ง แม้ในชาตินี้บุญน้อย สละตนเป็นศิษย์ในสำนักดาบสแล้ว ชาตินี้ก็ขอเพียงได้ทำกุศลใหญ่ ด้วยการสละกายของท่านเป็นสะพานทอดข้ามน้ำที่เฉอะแฉะ เพื่อให้คณะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฯได้เดินข้ามทางนั้นไปอย่างที่ไม่ปรารถนาที่จะให้หมู่คณะพระอริยะเจ้าทั้งหลายต้องระคายด้วยน้ำนั้น นี่จึงจะนับได้ว่าเป็นปรารถนาอันประเสริฐบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเวรเจือปน พระพุทธองค์ฯ จึงให้คำทำนายว่า ในอนาคตกาลภายหน้า สุเมธดาบสจะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่า สมณะโคตร (สมณะโคดม) ก็แล้วคนที่มีปรารถนาอันลามกเหล่านั้นเล่า ยังมองไม่เห็นเงาของพระพุทธเจ้าสักพระองค์ แม้พระอริยะสงฆ์ก็ยังไม่อาจมองเห็น แล้วจะได้เป็นหรือที่ปรารถนานั้นนะ คงจะอีกนานกว่าจะได้เดินทางสายเปลี่ยว แต่ที่ว่าเปลี่ยวเหลียวไปทางไหนก็มืดมนอนธกาล นั้นนะ แน่นอนนัก ไม่ต้องรอใครทำนายดอก ตัวเจ้าของเองนะรู้ดี ว่าอีกนานจะสักกี่ปี จิตนี้ก็ยังต้องถูกจองจำ จึงถึงได้เร่งทำบาปเวร เที่ยวลวงหลอกผู้คนให้หลงเดินทางสายเดียวกัน ก็เพราะว่ามันเปลี่ยวเดียวดาย แม้ถึงจะตายอีกกี่ภพกี่ภูมิก็คงยังไม่พ้นดอกที่เปลี่ยว ไม่ใช่ทางสายเปลี่ยว มันคนละเส้นทางกัน ที่เดินนั้นนะมันเดินลงทางเปลี่ยว ไม่ได้เดินขึ้นทางสายเปลี่ยวดอกนะ ขอบอก ฮึฮึ

ในทัศนะของหลวงตา เมื่อได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จงเร่งรีบตั้งเข็มให้ตรง เดินตามทางสายเปลี่ยวที่พระองค์ชี้ทางไว้ให้ จงเดินไปด้วยศรัทธา มีปรารถนาอันบริสุทธิ์ หวังทางสายเปลี่ยวเป็นที่หมาย แม้นไม่อาจรอดได้จากหมู่มารที่จ้องจองล้างผลาญ ก็จงหวังตั้งมั่นอย่าเปลี่ยนคลาย ปัญญาทั้งหลายเท่าที่มี อาจมีสักวัน สามารถเดินเข้าสู่เส้นทางได้ ยังไงเสียก็ไม่สาย ถ้าเดินเข้าได้ เป็นอันว่าถึงที่หมายแน่ จะอีกนานสักเท่าไร พระพุทธองค์ฯ ท่านได้ทำนายไว้แล้วว่า ไม่เกินเจ็ดชาติ ไม่ใช่เจ็ดชีวิต เพราะว่าหนึ่งชีวิตนั้นมีได้หลายๆ ชาติ ถ้าสามารถ ก็จะกำจัดชาติที่ชั่วร้ายค้างคั่งอยู่ในจิต ด้วยธรรมข้อ สะจิตตะปริโยทะปะนัง นั่นย่อมเป็นหนทางของประตูชัย จงเร่งเดินไปเถิด อย่าเบี่ยงเบน

มันเดินยาก เพราะต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติมิตร การที่ได้มีโอกาส หรือจะมีโอกาส ได้เดินทางสายเปลี่ยว นับว่าต้องใช้บุญไม่น้อย ครูอาจารย์ที่พยายามต่อบุญให้ ชี้ทางอย่างไร ปัญญาไม่เกิดก็เดินตามทางนั้นไปก่อน อย่าตะแบง

อย่าเที่ยวแบ่งจิตออกเป็นหลาย ที่จะได้เดินทางตรงนั้นมันยากเหลือเกิน ถ้าหลงเพลินกับทางเปลี่ยว ระวังเถิด ได้เดินคนเดียวแน่นอน เพราะพวกพ้องทั้งหลายที่รอคอย เขาระอา พาลจะพาให้หลงทาง ทางที่เดินนั้นมันชื่อคล้ายกัน เพียงแต่ว่ามันเดินขึ้นเพราะว่าเบา หรือว่าขนเอาไปมากมายจนตัวหนัก ที่จะสลัดละก็ทำท่ายาก ที่เคยถูกเคาะให้หลุดออก ก็จะกลับพอกหนากว่าเก่า ก็ด้วยเหตุที่ปัญญามันเบา จึงได้ถูกพัดให้พราก ต้องหนีจากความดี เห็นขี้ดีกว่าข้าว จะเฉลียวสักนิดก็หาไม่มี ปากเสีย ปากไม่ดี เทวดาอารักษ์ทั้งหลาย ทั้งผีพรายผีเรือน ต่างก็เบือนเบื่อ เที่ยวใช้ปากให้เหลือเฟือ บ่นบอกในสิ่งที่เป็นกุศลเฉพาะตน ที่ได้นิมิตนั้นมา ก็เพราะว่าปรารถนาของเขาเหล่านั้นทั้งหลาย เมื่อนำความไปขยายผิดที่ผิดสมัย ผิดกาลผิดตัว ผลชั่วย่อมเกิดขึ้น ก็นี่แหละที่เรียกว่าปัญญาเบา เขลา เพราะตั้งไว้ผิด จริตยังดัดไม่ได้ แต่แรงหนุนเยอะ ที่สุดก็เลอะเทอะ เดินทางผิด คิดไม่ได้เสียแล้ว นี่ก็เพราะ หมิ่นหยามครูอาจารย์ ท่านเมตตา ก็กล่าวหาว่าปรารถนามาก ท่านเกื้อกูลบอกทางดี ก็ตีความไปว่าอยากได้ นี่แหละที่เรียกว่าเขลาปัญญาเบา

วันนี้ หลวงตาขอจบเพียงนี้ก่อน ดึกมากแล้ว เหลียวดูนาฬิกา เห็นหนึ่งนาฬิกาเศษแล้ว

ขอบุญจงรักษาผู้บำเพ็ญบุญเพื่อเจริญพระพุทธศาสนาให้ปรากฏ


ใส่รหัสที่นี่   
กล่องตอบด่วน
Kittiyano

Reply Quote
 
Go to top
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1