ไขปัญหาธรรมบนเว็บบอร์ด

ยินดีต้อนรับ, ผู้เยี่ยมชม
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน.    ลืมรหัสผ่าน?

โกรธ ผูกโกรธ เป็นธรรมของคนพาล
(1 viewing) (1) ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
Go to bottom
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1
หัวข้อ : โกรธ ผูกโกรธ เป็นธรรมของคนพาล
#137
โกรธ ผูกโกรธ เป็นธรรมของคนพาล 12 ปี, 10 เดือน ก่อน  
โกรธ ผูกโกรธ เป็นธรรมของพาล
พรหมทัณฑ์ สมุทเฉทปหาน เป็นธรรมของบัณฑิต


วันนี้หลวงตามาแปลก อวดอุตริหรือ เปล่าไม่ใช่ ไม่ได้อวดอุตริ เพียงแต่ได้ศึกษาเรียนรู้มา และก็พากเพียรฝึกฝนบ่มตนให้งอม เปรียบเหมือนหินทับหญ้า ที่สุดเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็ยกหินออก เห็นหญ้าเหลืองซีดแซมขาวมีรากยาวเกาะเป็นกลุ่ม ดินใต้หินก็ชื้นแฉะพอประมาณ ลองหยั่งกำลังดู พอเห็นว่าสู้ได้ ก็พร้อมทั้งกายพร้อมทั้งใจ ใช้สติปัญญาพิจารณาให้ถ้วนถี่ จะจับหญ้าอย่างไรดี จะรวบทั้งหมด หรือจะแบ่งเป็นส่วนๆ จะดึงสวนทางหรือว่าดึงตามแนวดี ที่สุดเมื่อพิจารณารอบคอบดีแล้ว ก็ใช้ทั้งสติปัญญาและพละกำลังทั้งหมด รวบเอากลุ่มกอหญ้านั้น ดึงอย่างสุดกำลัง เห็นดินที่แฉะพอประมาณนั้นอุ้มกอหญ้าหลุดตามรากหญ้าที่ถักรัดกันขึ้นมาทั้งยวง กลุ่มหญ้าหลุดติดมือมาทั้งหมด พร้อมทั้งรากหญ้าและดินเฉอะแฉะรวมเป็นก้อน ทำให้บริเวณที่หินทับอยู่นั้น เกิดรอยหลุมขึ้น แต่ก็สุขใจเพราะได้ถอนกำจัดหญ้านั้นได้รวดเดียวหมด

นี่ก็เป็นเพราะรอคอยเวลา บ่มหญ้าอยู่ใต้หิน ไม่ใจร้อน ค่อยเป็นค่อยไป ใช้ทั้งเวลา สติปัญญา และที่สำคัญต้องมีความมั่นใจพร้อม เมื่อทุกอย่างประกอบกันจนถึงขั้นสามัคคีรวมพลัง ความสำเร็จก็เกิดขึ้น เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาแต่ต้น จนจบขบวนการ จึงได้เห็นตามเป็นจริงดั่งคำสั่งสอนขององค์พระพุทธศาสดาว่า ตบะและปัญญาเป็นเครื่องเผาผลาญกิเลส ตบะอย่างเดียวไม่อาจเผาผลาญกิเลสได้ เช่นกัน ปัญญาอย่างเดียวก็ไม่อาจเผาผลาญกิเลสได้ ต้องใช้ทั้งสองอย่าง และกว่าจะมาเป็นสองอย่าง ก็ต้องใช้ธรรมมากมาย ประกอบกันเฉกเช่นโพธิปักขิยธรรม มีองค์ประกอบด้วยกันสามสิบเจ็ดประการ

มีคนจำนวนมาก เชื่อว่าการศึกษาเท่านั้นจึงจะขจัดความเขลาได้ จึงถึงได้เร่งศึกษาทุกหลักวิชาพกพาเอาไปเต็มพุง ต่อเมื่อถึงคราวที่จะใช้วิชาการที่ศึกษามา ปัญญามันกลับไม่ยอมเกิด อารมณ์มันเกิดก่อน เหมือนเคยเจออยู่คน ชอบอวดตัวอวดตนว่าเป็นคนมีการศึกษา จบปริญญานั้นปริญญานี้ ได้ร่ำเรียนพระธรรมด้วยปัญญาทรงจำได้ดี ที่สุดก็ตีความพระธรรมด้วยกิเลสตน บอกว่าคนกล่าวธรรมนั้นสูงส่ง คนฟังต้องเคารพจะพูดคุยสอดแทรกไม่ได้ เห็นใครคุยกันก็จะหยุดกล่าวธรรม ธรรมที่กล่าวนั้น ก็อ่านเอาจากตำรา คนฟังก็ว่า ถ้าอ่านตำราก็ไม่อยากฟัง เพราะว่าอ่านเองได้ เธอคนนั้นก็โกรธตะแวดตะเบ็งส่งเสียงด่า ไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม พระเถรเณรชี ชี้หน้าด่าทั่ว กล่าวหาว่าชั่วด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ก็ด้วยเหตุที่ยกตัวตั้งไว้ที่สูงเทียมฟ้า ไม่เคยเห็นหน้าใคร จิตใจต่ำทราม ฝันว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า เพราะได้ตั้งปรารถนาเอาไว้จากการได้ศึกษาตำรับตำราจนเผลอละเมอไม่ยอมตื่น ดูถูกพระเณรว่าไม่มีปัญญา ด่าว่าหมด พระกำลังตั้งวงฉัน แกก็ดันตะคอกเด็กเสียงดังผ่านเครื่องขยายเสียง ทำเอาพระสงฆ์ตกใจช้อนหลุดหล่นจากมือ หัวใจแทบวาย ไม่นึกว่าจะกล้าทำได้ แต่แกก็ทำมาแล้ว แกด่าหมดเวลาโกรธ ชอบพูดเสียดสี กล่าวหาพระเถรเณรชี ว่าไม่มีปัญญา เธอนั้นเหนือกว่ามากมายขาดแต่ไม่ได้สวมใส่ผ้าเหลืองเท่านั้นเอง หลวงตาเคยบอกว่า ก็หาผ้าเหลืองมาห่อหุ้มคลุมกาย แกก็ไม่เอาไม่คิดจะบวช สงสัยว่าถ้าบวชแล้วแก่ก็จะต้องเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ผ่านครูอาจารย์อุปัชฌาย์ แล้วฐานะเทียมฟ้าของเธอก็จะไม่มี สู้เป็นอย่างนี้ดีกว่า ได้ด่าผู้คนยกตนข่มเขา ก็ยังมีพวกปัญญาเบามาเข้าพวกเหมือนกัน

ฉะนั้น ต่อให้ศึกษาตำรับตำรามามากมายเท่าไร ถ้ายังไม่สามารถขจัดความโกรธ ความผูกโกรธ ก็เป็นได้แค่คนอ่านธรรม ไม่ใช่คนปฏิบัติธรรม คนอ่านธรรมไม่ค่อยจะรู้จักตัวเองดอก เหตุเพราะว่าทรงจำธรรมที่อ่านเอาไว้มาก จนเข้าใจว่ารู้มีปัญญา ที่จริงแก่แค่จดจำเอามาอวดเท่านั้นเอง อย่างนี้คนโบราณท่านมีคำศัพท์เฉพาะว่า จำอวด พวกจำอวด คือพวกตลก จดจำเอาท่าทางต่างๆ มาทำให้คนได้เห็นได้ดูกัน แล้วก็ทำท่าทางให้มันเพี้ยนๆ หน่อย เพื่อให้ผู้คนได้หัวเราะผ่อนคลาย ท่าทางทั้งหลายก็แสดงเหมือนๆ กัน เพราะว่าเรียนรู้จดจำมาจากครูอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทให้ ใครพอมีไหวพริบดีหน่อย ก็ทำท่าทางได้มากมาย ก็คล้ายๆ คนอ่านธรรม จำได้หมดที่อ่านมา จนนึกว่าตัวเองทำได้เช่นนั้น แต่พอเอาเข้าจริง อารมณ์กระเจิง จึงถึงบางอ้อว่า อภิโธ่อภิถัง ก็แค่จำเอามาอวดเท่านั้นเอง

สำหรับผู้ที่เรียนพอรู้เป็นแนวทางตามครูสอน แล้วก็พากเพียรฝึกฝน ค่อยๆ ดูอารมณ์ ผ่านหนาวผ่านฝนไปหลายพรรษา ที่สุดก็ถึงกาลเวลา ปัญญาเกิดพร้อมทั้งสองทาง สามารถขจัดขัดเกลาส่วนที่เคยเขลาให้เบาบางลง ทีละขั้นทีละขั้นจนเกิดความชำนาญเข้าใจ ผ่านฝนผ่านพรรษาไปไม่สนใจใยดีที่จะนับ รู้เพียงมีหน้าที่ขจัดเศษสวะที่คั่งค้างอยู่ในจิต ทีละนิดทีละน้อย ค่อยๆ อบรมบ่มเพาะจนได้ที่ ปัญญาที่มีเพียงแค่ริบหรี่ ก็พลันมีกำลังเปล่งแสงสว่างไสวอยู่ท่ามกลางใจ รู้เห็นเช่นไรก็วางไว้ตรงนั้น ไม่เอามาเป็นอารมณ์ รู้เพียงหน้าที่ ดีก็สอนต่อ เหลือขอก็พรหมทัณฑ์ นานวันไม่เปลี่ยนแปลง ก็ต้องสุดแรงคือ สมุทเฉทปหาน ตัดขาดจากใจ เหลือไว้เพียงหน้าที่ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอาทร ไม่มีเยื่อใย ไม่ใส่ใจสอน ไม่มีแง่งอน ถามมาก็ตอบไป หน้าที่เป็นใหญ่ แต่ว่าใจนั้นไม่มีให้แล้ว

ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ดูประหนึ่งจะคล้ายกัน แต่ที่จริงต่างกันคนละชั้นคนละธรรม คนรู้ธรรมแค่ระดับต่ำจะไปตัดสินธรรมที่สูงกว่าย่อมมองไม่เห็น เป็นได้แค่เอากิเลสตนมาเทียบ แล้วก็ตัดสินผู้อื่นด้วยกิเลสตน ส่วนคนที่รู้ธรรมที่สูงกว่าเขาก็ว่าเป็นธรรมดา หมาเห่าเครื่องบิน ก็ต้องบอกให้หมารู้ว่า ดูเฉยๆ อย่าเห่าเขาไม่ได้ยินดอก นะจะบอกให้

ขำขำพอได้ผ่อนคลาย สบายๆ อย่าเครียด ธรรมทั้งหลายมีอยู่แล้ว พระพุทธศาสดาได้เห็นแล้ว แจ้งแล้ว จึงนำมาบอกต่อ ประสงค์ปรารถนาก็ต้องศึกษาตามพระพุทธองค์ ท่านบอกเอาไว้แล้วว่าอย่าเชื่อ ถ้าใครที่ฟังแล้วเชื่อโดยทันทีก็คือคนเขลาไม่มีปัญญา ส่วนคนที่ฟังไปแล้วเอาไปคิดพิจารณา ทดลองปฏิบัติดู เมื่อรู้ก็จะรู้ตามความเป็นจริง เพราะทุกสิ่งนั้นมีอยู่แล้ว ผู้ศึกษาพากเพียรอย่างถูกต้องตรงทาง ย่อมเข้าไปเห็นได้ และเห็นตาม เมื่อกล่าวกับผู้อื่นที่รู้ตามเป็นจริง ก็จะกล่าวได้ตรงกัน ไม่ผิดไปจากความเป็นจริง นี้เป็นธรรมดา เป็นได้เฉพาะในพุทธสาสนะ ไม่มีในที่อื่นใด ไม่ว่าศาสดาใดๆ ก็ย่อมไม่สามารถ เพราะนี่คือพระพุทธศาสนา มีองค์พระพุทธศาสดาเป็นบรมครู ใครใคร่รู้ต้องทำเอง อ่านเอาไม่ได้ เขียนบรรยายก็ไม่ได้ ต้องรู้เอง เรียนเอง เพียรเอง จึงจะรู้ตามความเป็นจริง

วันนี้หลวงตาก็ขอจบไว้เท่านี้ ศูนย์นาฬิกากับอีกเก้านาที พอดีๆ บุญรักษา


ใส่รหัสที่นี่   
กล่องตอบด่วน
Kittiyano

Last Edit: 2014/11/07 11:31 By admin.
Reply Quote
 
Go to top
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1