เรื่อง จิต กับ ใจ จำได้ว่าในครั้งนั้น มีการถามนำในเรื่องอื่นก่อน แล้วจึงเข้ามาสู่ความสงสัยในคำว่า จิต กับ ใจ เอาว่าหลวงพ่อจะอธิบายให้อย่างง่ายๆ และสรุปได้ไม่ยาก
จิต เป็นธรรมชาติหนึ่งที่มีความละเอียดมาก เป็นที่รับรู้อารมณ์ และสามารถสั่งสมอารมณ์ต่างๆ เอาไว้ เป็น
สัญญา และติดจำไปตลอด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆ กาลใดๆ อดีต ปัจจุบัน อนาคต
ใจ เป็นธรรมชาติหนึ่งที่หยาบเป็นส่วนหนึ่งของกายหยาบ ไม่ได้หมายถึงหัวใจ แต่หมายถึงสติปัญญาความสามารถในการคิด ที่เรียกว่า
จินตนาการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนดี หรือส่วนชั่ว
จิต และ ใจ ทำงานร่วมกันอย่างไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นในด้านดี หรือว่าด้านชั่ว ธรรมชาติทั้งสองนี้ ทำงานร่วมกัน โดยมี ธรรมชาติอื่นๆ คือกายทั้งหมด และ สภาพแวดล้อมกาย ในขณะใดๆ เมื่อจิตรับรู้อารมณ์หนึ่งเข้ามา (จิตทำงานได้ครั้งละหนึ่งเดียว) โดยผ่าน อายตนะทั้งสิบสอง ภายในหก ภายนอกหก ภายในคือธรรมชาติที่เรียกว่า
กาย ภายนอกคือธรรมชาติที่เรียกว่า
สภาวะแวดล้อม
ขณะจิตที่รับอารมณ์เข้า จิตก็จะต่อต้าน หรือยอมรับ อารมณ์ใหม่นั้น โดยนำไปเปรียบเทียบกับอารมณ์ที่เคยสั่งสมเอาไว้ แล้วส่งสัญญาณไปให้กับธรรมชาติที่รองรับ คือสติปัญญา ให้ตัดสิน แล้วจึงแสดงออกมา ในลักษณะของความดี ความชั่ว ขึ้นกับสภาพปัจจุบันของกายหยาบ
อันที่จริง ถ้าเห็นตามแต่ละขณะที่อธิบายมานี้ จะเห็นได้ว่า จิตนั้นประภัสสร คือบริสุทธิ์ ไม่ปรุงแต่ง แต่การปรุงแต่งนั้นมาจาก ธรรมชาติที่เรียกว่ากาย อันเกิดมาแต่กรรมจากมรณาสันนวิถีจิต เป็นตัวกำหนดจุติจิต เมื่อจิตไปปฏิสนธิในที่ใดๆ จิตได้นำเอาอารมณ์ต่างๆไปด้วย ขณะที่จุติจิตเกิดขึ้น อารมณ์ต่างๆ ในจิตนั้น หยุดการทำงานแล้ว เนื่องเพราะว่าไม่มีตัวรองรับคือกายหยาบ ขณะที่กายหยาบกำลังจะแตก ส่วนของสติปัญญาในกายหยาบนั้น ได้ทำหน้าที่ครั้งสุดท้าย คือรวบรวมกรรมต่างๆ แล้วประมวลเอากรรมสุดท้าย (ไม่ใช่สุดท้ายในการกระทำ แต่สุดท้ายในการประมวล) ส่งให้จิตจดจำ เมื่อจิตมีหน้าที่คือกรรม ในขณะสุดท้ายที่เรียกว่ามรณาสันนวิถีจิต อย่างที่ได้อธิบายแล้วว่าจิตนั้นเที่ยงนัก (เมื่อเข้าถึงฌานสี่ก็จะได้รับรู้อารมณ์นี้) เมื่อมีหน้าที่ ก็ต้องปฏิบัติอย่างไม่บิดพลิ้ว ย่อมนำจิตนี้ไปปฏิสนธิ ในที่ที่เหมาะสมกับคำสั่ง สัตว์ที่เกิดขึ้นมานั้น จึงต้องรับผลของกรรม เป็นไปตามกรรม อันเนื่องมาจากกายและสภาพแวดล้อมใหม่
เมื่อจิตได้กายใหม่ จิตก็ทำหน้าที่อย่างเดิม คือรับอารมณ์เข้า เปรียบเทียบ แล้วส่งให้กับส่วนที่รองรับ ของกายใหม่ สภาพของกายใหม่และสิ่งแวดล้อม ก็จะตัดสินไปตามธรรมชาติใหม่นั้น
จนกว่าจิตจะได้รื้อเอาอารมณ์ต่างๆที่ได้สั่งสมไว้นานไม่รู้ที่เกิด และที่ดับ มาจัดเรียงเสียใหม่ ซึ่งก็ต้องอาศัย กายและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งก็คือการได้เกิดในภพชาติที่เป็นมนุษย์ และที่สำคัญต้องมีคำสั่งสอนของ องค์พระพุทธศาสดา ที่สอนให้เข้าใจถึงการรื้อถอน และจัดเรียงใหม่ จิตที่สั่งสมกรรมมายาวนาน จึงจะมีโอกาส
ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็น ความดี หรือความชั่ว ล้วนไม่ได้มาจากจิต แต่มาจากธรรมชาติที่รับรู้การถ่ายทอดมาจากจิต ที่เป็นส่วนของความคิด สติ ปัญญา จินตนาการ ที่ถูกเรียกว่า ใจ เราจึงรวมเรียกว่า
จิตใจ ถ้ากายหลังนี้ จะไม่ได้รับการอบรมให้เลือกทางถูก ตามที่พระพุทธศาสดาได้กล่าวสอนไว้ในมงคลสามสิบแปด อันเป็นหนทางในการนำสัตว์ออกจากทุกข์ อย่างเป็นขั้นตอนแล้ว กายนี้ ก็จะเดินทางผิด และสั่งสมกรรมหยาบหนักยิ่งๆ ขึ้น ที่สุดก็ลงสู่อเวจีมหานรกอย่างที่หมดโอกาสได้พบแสงสว่างอีก
แต่ถ้าเลือกเดินในทางถูก ตามคำสอนขององค์พระพุทธศาสดา ตั้งแต่เริ่มชีวิต หรือเริ่มเข้าใจในคำสอน จิตนี้ก็ย่อมมีโอกาสที่จะรื้อถอนและจัดเรียงใหม่ ในข้อมูลทั้งหลายที่ได้สั่งสมเอาไว้ คัดเลือกที่จะอยู่ในด้านดี เพียรพยายามตั้งมั่น เพียรพยายามที่จะอนุรักษ์ เพียรพยายามทำให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นในจิต ที่สุดย่อมกำจัดสิ่งไม่งามเหลือไว้แต่สิ่งงาม เมื่อปล่อยวางทุกอย่างลง ด้วยเข้าใจในสัจจะทั้งหลายแล้ว จิตย่อมหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง สามารถกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ไม่ช้า ไม่สาย ก่อนตายก็ยังดี
บุญรักษา
กิตติญาโณ