ก็เหตุที่เกิดทุกวัน มันก็มาจากกรรม เลยต้องเขียนเรื่องกรรมต่อ
ตั้งใจไว้ว่า จะขึ้นเรื่องว่า คุณวิเศษอันเกิดจากบุญฤทธิ์ แต่ก็ต้องมาขึ้นเรื่องอย่างนี้แหละ เพราะว่ามันมีเรื่องเกิดขึ้นตลอดเวลา มีปัญหาให้ต้องแก้ไข มีทั้งดีและมีทั้งจัญไร แต่อะไร อะไร มันก็ไม่ร้ายเท่า
ปากคน
ที่เรียกว่าปากคนก็เพราะว่ามันเป็นเสียงที่ออกจากปากของคน แต่คำและจิตใจของคนพูดนั้นมันน่าจะเรียกว่าปากหมา แต่ถ้าบอกว่ามันไม่ร้ายเท่าปากหมา เดี๋ยวก็จะเข้าใจไปว่า หลวงตาฟังภาษาหมาได้ด้วย ฮึ ฮึ ก็ที่ฟังอยู่ทุกวันนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกันดอก เพียงแต่ว่าหลวงตากำจัดตัวเองได้มากพอควรแล้ว ก็เลยฟังได้ ไม่ว่าภาษาหมาหรือว่าภาษาคน เป็นเพราะกำจัดตัวกำจัดตนของเจ้าของเองมากๆ มันเลยรู้และเข้าใจว่า
นั่นมันเป็นธรรมดา
แต่ที่ไม่ธรรมดานะมี เพราะว่าเคยอ่านเคยเรียนพระธรรมคำสอนขององค์พระพุทธศาสดา ที่ได้มีการบันทึกถ่ายทอดกันมาจนจวบทุกวันนี้ จำได้ว่า มีเรื่องที่เคยอ่านอยู่นะ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นโคตรมุนีในเหล่ามุนีทั้งปวง ผู้ทรงเป็นศาสดาเอกในหมู่เหล่าของศาสดาทั้งหลายที่มี ที่สำคัญยิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระพุทธศาสดา จึงมีความบริสุทธิ์เหนือความบริสุทธิ์ทั้งปวง ผู้ใดที่กระทำผิดต่อพระองค์ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์ (แต่หลวงตาขอเสริมความคิดของตัวเองว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆ ในสามโลก ) ย่อมไม่สามารถอาจหาญที่จะกล่าวเท็จ เพราะว่ามีเทวดาตนใหญ่ที่เรียกว่า
ยักษ์ ถือค้อนรออยู่พร้อมที่จะทุบกบาลให้แหลกแตกตายได้ทุกเมื่อ นี่คือบุญฤทธิ์ของพระพุทธองค์
แต่หลวงตาเป็นเพียงแค่พระแก่ๆ ที่มีความซื่อสัตย์ต่อคำสั่งสอนของพระองค์ ไม่หนีออกนอกลู่นอกทางมากมายนัก โดยส่วนข้างมากแล้วในแต่ละวัน นับแต่ได้ตัดสินใจสมัครเป็นศิษย์ของพระองค์ มอบกายถวายชีวิตแล้ว ก็ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ที่สำคัญเพียรกำจัดตัวเจ้าของเองอยู่ตลอดเวลา จนสามารถบอกได้ว่าอยู่ข้างถูกมากกว่า
แล้วเมื่อวันเสาร์ที่ห้ามีนาคมที่ผ่านมา ปีนี้ก็ปีที่สองพันห้าร้อยห้าสิบสี่นับแต่เสด็จปรินิพพาน วันที่บันทึกเรื่องราวนี้ ก็เป็นเวลาประมาณสี่นาฬิกาของวันที่เก้า(สากลนับวันใหม่หลังเที่ยงคืน) หลวงตาเริ่มมานั่งเขียนตั้งแต่ประมาณสามนาฬิกาเศษ เริ่มจากอ่านเรื่องเดิมที่เขียนมาแล้วในชุดเดียวกันนี้ แก้ไขคำผิด วรรคตอนบ้าง แล้วก็จึงได้เริ่มเขียนบทความนี้ วันนี้ อาจจะเห็นอะไรแปลกๆ ก็หลวงตาปรารถนาให้เป็นบันทึกที่มีการอ้างอิงเวลาด้วย เพราะเคยมีคนอ่านเรื่องของหลวงตา หลังจากที่เขียนมานานแล้วหลายปี แล้วมีการจัดพิมพ์ ปรากฎว่าเขายกเข้าไปเป็นเรื่องของเขาแล้วก็ตีโพยตีพาย อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็เคยมี เขียนบันทึกไว้ในสมุดเมื่อครั้งที่ร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยๆ ไปอาศัยอยู่ที่กระต๊อบปลายนา ที่จริงน่าจะเรียกว่าหัวนา เป็นขนำ คือที่พักสำหรับเจ้าของเวลามาเฝ้าทรัพย์สินของตนที่ลงทุนฝากแม่พระธรณีเอาไว้ ครั้งนั้นก็มีคนตีโพยตีพายกล่าวหาว่าหลวงตาด่าเขา คนเรานี่แปลก พ่อแม่สั่งสอนก็บอกว่าถูกด่า พระเทศน์สอนก็บอกว่าวันนี้โดนด่าแต่เช้า คำว่าด่าว่านี่มันเป็นอะไรที่ติดปากคน แต่ความหมายมันไม่ใช่นี่ ด่าว่านั้นไม่ได้มีคำสอนอยู่ มันมีแต่คำหยาบคายระเคืองหูและอารมณ์ แต่ที่คนฟัง คนอ่านบอกว่าด่า ก็เพราะว่ามันไประคายอารมณ์ของเจ้าของเลยเกิดความเคืองขุ่น แล้วด้วยอารมณ์นั้น จึงบอกว่าถูกด่า นี่แหละนิสัยของคนพาล ไม่ใช่บัณฑิต บัณฑิตนั้นเขาชอบแก้ไขที่ตัวตนของเจ้าของ แต่ว่าคนพาลชอบที่จะเอาตัวของเจ้าของเป็นที่ตั้ง โบราณท่านจึงเปรียบเปรยไว้ว่า
คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว
ว่าเสียยาวเลยเนอะหลวงตา ที่เขียนมาข้างต้นนะใช่แก้ตัวหรือเปล่าหลวงตา ฮะฮ้า เอ้า ฮุยฮา...ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ก่อนหน้าเมื่อวันเสาร์ที่หกที่ว่า เป็นเวลาหลายเดือน มีคนเอาเครื่องทำไฟหรือที่บ้านๆ เรียกว่า
เครื่องปั่นไฟ มาถวายให้ แต่ว่ามันเสีย
คนถวายก็บอกว่าซ่อมเลยครับ ค่าซ่อมเท่าไรเดี๋ยวผมมาจ่ายให้ หลวงตาก็ขอไปที่อุปฐากรายหนึ่งซึ่งเป็นร้านค้าอะไหล่เครื่องยนต์ที่เป็นที่รู้จักกันดีในย่านนี้ น่าจะกว้างขวางในหมู่ช่างที่เป็นอู่ซ่อมเครื่อง เรื่องมันยาวสรุปเอาว่า การซ่อมเครื่องยนต์ของเครื่องปั่นไฟตัวนี้ ใช้เวลาเกือบปี มีการทวงถามกันจนเป็นที่รำคาญหัวใจ เรื่องทางฝ่ายร้านค้านั้นเป็นอย่างไรไม่รู้ เรื่องที่อู่เป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่เรื่องทีหลวงตานี่ซิ มันให้รู้สึกผิดปกติ ไม่ทวงไม่ถามก็ไม่มีคำตอบ พอถามไปมากๆ ก็มีเรื่อง เป็นที่รำคาญหัวใจกัน
จำได้ว่าในครั้งแรกที่ส่งเครื่องไป ไม่เท่าไรทางร้านก็โทรมาว่า
จะซ่อมหรือ อะไหล่แพง ประมาณหมื่นเจ็ด หลวงตาก็ยืนยันว่าซ่อม เนื่องจากเครื่องนี้มีคุณสมบัติพิเศษ และเป็นเครื่องที่มีคุณภาพสูง ได้ตรวจเช็คเบื้องต้นแล้ว ว่าน่าจะซ่อมได้
แค่ชาพละลาย ไม่ถึงกับฝาสูบมีปัญหา แต่ก็ไม่วางใจ เมื่อจะเบิกอะไหล่
ก็ยังถามเจ้าของร้านว่า ถามช่างดูซิว่า ฝาสูบเป็นอะไรหรือเปล่า ก็ได้คำตอบว่าไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นก็ซ่อม ทางร้านนะรู้ดีว่าทั่วไปค่าอะไหล่คงไม่มากมายปานนี้ นี่ค่าอะไหล่ก็ปาเข้าไปเกือบสองหมื่น ไหนจะค่าแรงและอะไรต่ออะไรอีก น่าจะซื้อเครื่องเก่าตัวใหม่มาใส่ได้ เขาจึงเสนอว่าเดี๋ยวลองหาเครื่องมือสองดู ราคาพอๆกับค่าซ่อม ก็ไม่ว่าอะไร แต่บอกว่าเครื่องนี้มีอุปกรณ์พิเศษที่เรียกตามภาษาช่างว่า
“กาวานา” ในตัวนะ มันจะเร่งเองโดยอัตโนมัติเมื่อใช้ไฟเพิ่มขึ้น เครื่องที่จะหาซื้อมาใส่ให้นะ มันจะต้องมีส่วนนี้นะ เพราะว่าจะได้ไม่ต้องมาคอยเร่งเวลาปั่นไฟใช้ สักไม่กี่วันก็ได้รับคำตอบว่า เครื่องลูกหนึ่งราคาสี่หมื่นกว่า ถ้าจะให้ดีก็ต้องมาตรวจเช็คใหม่อีกครั้งก่อนใส่ ก็อีกหลายตังค์ เอาว่าซ่อมนะ หลวงตาก็ให้แสนดีใจ รีบตอบไปเลยว่ายังไงก็ซ่อม เพราะว่าเครื่องที่จะหาซื้อนั้นนะ ยังไงก็ไม่อาจทัดเทียมเครื่องเก่าที่ติดตัวอยู่ เพราะว่าเครื่องติดตัวนั้นมัน
“โคมัสสึ” เกรดเครื่องยนต์หนัก ไม่ใช่เครื่องยนต์ที่ใช้ในรถเก๋งธรรมดา หรือรถกะบะ นี่มันเครื่องที่ใช้ในงานจักรกลหนักประเภทรถยกรถไถแบ๊คโคร์โน่น
นานหลายอยู่ จำได้ว่าเจ้าหนุ่มพ่อของ “หนูนา” ตรวจเช็คเครื่องนี้แล้วก่อนส่งซ่อม ไปญี่ปุ่นกลับมาแล้ว สองรอบ รอบหนึ่งก็ประมาณสามเดือน เครื่องก็ไม่ได้ซักที หลวงตาก็ยื่นคำขาดว่าจะต้องการใช้ ขนาดว่ายื่นคำขาดก็ใช้เวลาอีกสองสามเดือน ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ทำไมถึงนานจัง มาได้คำตอบตอนที่โทรไปแล้ว คนรับทำเป็นไม่รู้จัก เลยจัดการซัดเสียอ่วมอรทัย เออ ได้ผล มีคำตอบมาเลย
ฝาสูบแตก ก็สงบปากสงบคำ ไม่ว่ากระไร เรื่องมันก็ยาวอีกนั่นแหละ ที่สุดหลวงตาก็ให้ครูแดงไปจ่ายสตางค์ให้ เอาไปให้สองหมื่นก่อน วันนั้นป้าอึ้งเอาสตางค์มาถวายให้สองหมื่น แล้วอีกไม่กี่วันก็จะถึงวัน “ ธรรมะในสวน ” ก็บอกป้าแดงไปว่า ให้ติดเงินไปอีกหนึ่งหมื่นห้าพัน รวมเป็นสามหมื่นห้า เพื่อชำระค่าอะไหล่พร้อมทั้งฝาสูบราคาหมื่นแปดก่อน เมื่อตอนที่ชำระเงินส่วนแรกสองหมื่นบาท ก็โทรคุยกันกับคนรับเรื่องสานต่อ เพราะว่าต้นเรื่องไม่กล้าทำต่อแล้ว บอกเธอไปว่า เมื่อแรกยังไม่ได้จ่ายเงิน (
เพราะว่าทางร้านบอกว่าไม่เป็นไรจะจัดการให้ ก็บอกไว้แล้วว่ามีเจ้าภาพแล้ว เมื่อไม่สำเร็จก็ต้องจ่ายเงินก่อน เมื่อจ่ายเงินแล้วก็เดินเรื่องได้ จริงๆด้วย เรื่องเริ่มเดินทันที) เมื่อจ่ายเงินแล้วก็มีสิทธิพูดนะ ขอบอกว่าหลวงตาไม่โง่นะ จำความได้หมด ว่าเรื่องมันเริ่มอย่างไร มาถึงขั้นไหน (เพียงแต่ว่าไม่จำวันเวลาเท่านั้นเอง) ไม่เชื่อดอกว่าฝาสูบแตก แต่ไม่เป็นไร เมื่อสอบราคามาว่าฝาสูบที่จะซื้อมาเป็นฝาเก่า สภาพพร้อมใช้ ราคาหมื่นแปด
ที่บอกว่าไม่ต้องห่วงนั้นนะไม่ได้ดอก ห่วง ห่วงว่าพวกเธอทั้งหลายจะทำผิด แล้วเป็นผลกรรม ก็มีการเขียนธรรมเรื่อง
กรรมเบี่ยงเบน แล้วก็นำไปบรรยายที่ ธรรมะในสวน ด้วย กระทบเพื่อให้รู้ตัวแล้วจะได้แก้ไข แต่ว่านานไป เหตุการณ์กลับเปลี่ยน ทำให้ต้องเขียนเรื่องตอนที่แล้ว
ที่สุดเมื่อวันเสาร์ที่หก เรื่องทั้งหมดก็กระจ่าง
กระจ่างด้วยบุญฤทธิ์ จำได้ว่าเมื่อวันที่สาม ได้แสดง(ละคร)อารมณ์ไปเยอะ ทำเอาคนที่ไม่รู้จักหลวงตาดีพอ ซุบซิบ และพูดจาแบบคนโลกๆ หลายคน คนพวกนี้นะ ที่สุดก็หลุดจากวงจรหลวงตา ก็ด้วยบุญฤทธิ์นี่แหละ ฮะฮ่า.. จำได้ว่ามีอยู่คนเดียวที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ได้มีโอกาสมาร่วมงานกันครั้งหนึ่ง เข้าใจหลวงตาได้ดีมากเลย ชื่อคุณละเอียด เป็นวิทยากรของยุวพุทธฯ หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ จำได้ว่าได้รับการแนะนำอย่างนั้น เรื่องนี้นับสิบปีแล้ว
ไหนๆ ก็เขียนแล้ว เชื่อหรือว่าหลวงตาไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าของอะไหล่ร้านนี้ รู้หรือเปล่าว่าหลวงตาพกโทรศัพท์สองเครื่องสามเบอร์ มีหรือที่ไม่มีเบอร์โทร นั่นนะมันละคร ถ้าอารมณ์กระเจิงอย่างที่เห็นนั่นนะ สอนใครไม่ได้ดอก มันเพียงต้องการประวิงเวลา รอให้ผลมันเกิดก่อน แล้วค่อยต่อ จึงต้องมีละครคั่นเวลา หลวงตานะ เคยถูกฝึกให้แสดงละครมาแล้วตั้งแต่เด็ก จำไม่ได้ว่าเคยเขียนเอาไว้แล้วหรือยัง เพราะว่าเราไม่รู้ภาษาอังกฤษไง เลยถูกมัสสะเตอร์(มาสเตอร์)ทวี ปัญญา ท่านเฆี่ยนตีซะอานไปเลย เอาให้ได้ ไม่ได้ไม่ต้องกลับบ้าน ฝึกอยู่นานทีเดียวละ ก็คนโง่นะ จะให้ฉลาดก็ต้องฝึกหนักหน่อย เราฝึกเองไม่เป็น เป็นเด็กขี้เกียจ ชอบหนีชอบเที่ยว ก็ต้องโดนอย่างนั้นแหละ ท่านสอนให้แสดงท่าทางให้สมจริงด้วย แค่บทคนรับใช้นะ พูดประโยคสองประโยคเอง ไม่ได้มากมาย ฝึกยากฝึกเย็นอะไรอย่างนั้น ส่วนเด็กที่เรียนเก่งๆ อย่าง ประสิทธิ์ ไตรรัตน์วรกุลนี่ (พิมพ์นามสกุลผิดหรือเปล่าไม่รู้ซิ พี่ชายของประสานคนดัง) เขาเนียนจริงๆ ภาษาหรือก็สบายมาก ไม่โดนไม้แม้แค่ขุยมัน เนียนไหลลื่นจริงๆ ส่วนเราทำไม่เป็นซักที แต่ที่สุดก็ไม่พ้นมือ มาสเตอร์ทวีไปได้ สุดยอดของครูฝึกจริงๆ เอาขี้เลื่อยมาปั้นจนเป็นวันนี้แหละ เคารพนับถือยิ่งนัก จำครูบาอาจารย์ได้ไม่กี่คนดอก ทั้งที่มีมาก แต่จำได้เฉพาะที่ประทับใจ มันฝังไว้แล้วในจิต อุทิศกุศลครั้งใดก็นึกถึงครูอาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชาให้เสมอ มีครูสุขุม สอนวิชามวยสากลให้ตั้งแต่เล็ก ก็สามารถคว่ำคนได้โขอยู่สมัยวัยรุ่น มาเลิกก็เมื่อตอนที่เจอมวยแค้นมวยวัดนี่ ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย ฮุ้ย ฮุ้ย ต้องไล่กลับคอกหน่อยหลวงตานี่ แก่แล้วจริงๆ พูดเล่าเรื่องเก่าทีไร ไม่ได้ละยาวทุกที
กลับมาที่เดิม ละครคั่นเวลาเหล่านั้น เมื่อเล่นก็ต้องเล่นให้สมจริง ความทั้งหลายมันจึงจะได้ปรากฏออกมา ก็เมื่อวันเสาร์ที่ห้า จึงเจ้าของร้านอะไหล่ นำช่างมาพร้อมกับแบตเตอรี มาลองสตาร์ทเครื่องที่ซ่อมให้ ก็เพราะเล่นละครไว้สองสามแห่งถึงได้เรื่องไง ที่แรกว่าจะไม่ออกไปดูแล้วละ เจ้าของร้านโทรมาบอกว่าเขานำช่างพร้อมแบตเตอรีมาติดเครื่อง หลวงตาจะออกไปดูไหม ก็บอกว่าไม่ละ เพียงบอกให้เขาลองหลายๆ ครั้ง ตอนนั้นติดเขียนเรื่องอยู่ พอเสร็จตอนที่ตั้งพล๊อตไว้ก็ละงานเดินออกไป เขาเหล่านั้นกำลังจะกลับ ออกเสียงเรียกก็ไม่ได้ยิน กวักมือก็ไม่เห็น อันที่จริงคนที่มาในทีมคนหนึ่งเห็นแน่ๆ แต่เขาไม่บอก เพราะว่าก่อนออกจากจุดที่เขามองฝาสูบเก่า เขาเงยหน้ามาสบตาหลวงตาพอดีตอนที่เดินออกมาระยะประมานสิบกว่าก้าว แต่ทำเฉยเสีย ยืนให้เห็นเพื่อจะมองกระจกหลัง กวักมือก็แล้ว ที่สุดก็เอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาเจ้าของร้านอะไหล่บอกว่าให้กลับมาก่อน เดินออกมาแล้ว คุยกันหน่อย เขาจึงได้กลับมา
กลับมาคราวนี้ได้เรื่อง เขารายงานหมด ไม่มีปิดบังเลย ช่วยกันทั้งเจ้าของร้านอะไหล่และช่างที่มาด้วย เขาบอกว่า เครื่องนี้นะราคาแพงนะ ราคาตั้งแสนแปด คนที่ขายฝาสูบให้ชื่ออะไรก็ไม่รู้ หลวงตาไม่จำ เครื่องเขาเสียเลยซื้อเครื่องมือสองมาวางใหม่ ก็เลยมีเครื่องเก่าอยู่ เห็นว่าเป็นวัดเป็นพระเลยขายให้ถูกๆ หมื่นสองเท่านั้น หลวงตาได้ยินแล้วก็ยิ้มแล้วก็หมดคำถามใดๆ ที่ตั้งใจจะมาถามหาความกระจ่าง ก็เป็นอันว่าไม่ต้องถามละ เขาตอบมาเป็นเรื่องเรียบร้อยแล้ว อ่านมาแล้วคิดออกแบบหลวงตาไหม
เขาบอกว่าเครื่องของหลวงตาเสียหายมาก ไส้ในนะเป็นเงินค่าอะไหล่หมื่นเจ็ดแล้ว มารู้ที่หลัง เขาบอกว่ามารู้ที่หลังนะ ว่าฝาสูบแตกต้องเสียอีกหมื่นแปด ยังไม่รวมค่าเข้าโรงกลึง มีรายการเจียรข้อเหวี่ยงด้วย อีกสามพันเศษ ที่หมดสงสัยก็ตรงที่เขาบอกว่า ของเขาฝาสูบไม่แตก ค่าซ่อมก็ไม่น่าจะเกินสองหมื่นกว่า ทำไมต้องซื้อเครื่องใหม่ราคาแสนแปดมาวางด้วย ของหลวงตาฝาสูบแตกด้วย ไส้เน่าด้วย ค่าซ่อมเบ็ดเสร็จ สามหมื่นแปดพันเจ็ดร้อยกว่า นี่ดูตามรายการที่นำมาแสดงนะ
ทำไมเขาจะต้องเสียเงินมากมายตั้งแสนแปดเพื่อที่จะเก็บฝาสูบไว้มาขายหลวงตาเพียงแค่หมื่นสอง เขาต้องเป็นผู้ที่หยั่งรู้ฟ้าดินแน่นอนถึงได้รู้ว่าจะได้สร้างกุศลใหญ่ด้วยการเสียเงินแสนแปดมาแลกหมื่นสอง ก็แล้วถ้าเขาเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน แล้วทำไมเขาไม่รู้หรือว่าฝาสูบมันแตกทั้งที่เปิดเครื่องมาตรวจแล้ว มาแจ้งรายการอะไหล่แล้ว บอกว่าฝาสูบไม่แตก ก็บอกแล้ว หลวงตานะซ่อมเครื่องเองก็เป็น ทำมาหลายแล้วละ บอกแล้วไงว่ามีคุณวิเศษตั้งแต่นานมาแล้ว รื้อเครื่องรื้อคาร์บูเรเตอร์ซ่อมข้างถนน ลูกปืนตัวเล็กๆ ตกในหญ้า ยังหาเจอเลย หลายวันก่อนก็ยังใช้วิชาอยู่เลย สกรูตัวเล็กๆมันตกลงมาตามมันไม่ทัน เลยหาไม่เจอ ก็ต้องใช้วิชานี้แหละ ช่างประกอบสร้างเครื่องปรับอากาศ หารอยรั่วไม่เจอ หลับตาคลำเดี๋ยวเดียว ก็บอกว่าอยู่ตรงนี้แหละ แล้วก็ใช่จริงๆ ที่บอกว่ารั่วที่อุปกรณ์เชื่อมต่อไว้มันชำรุดแล้ว เขาไม่เชื่อ เสียหายเสียเวลาคลำหาทดลองแล้วทดลองอีกไปหลายวัน ที่สุดถอดชุดวาล์วออกมาแช่น้ำอัดไนโตรฯเข้าไปบอกว่ารั่วจริงๆ ด้วย ฮึ ฮึ จะเกิดเท่าไร จะตายเมื่อไร ยังรู้เลย ประสาอะไรกับฝาสูบขี้คอก ไม่ตอกเบอร์เอาไว้ก็นับว่าโชคดีแล้ว
บอกว่าวางแล้วไม่สนใจแล้ว ก็ยังไม่วายมากล่าวหาสารพัด แถมทำงอน ไม่พอใจ บอกแล้วไง รอให้ปรากฏก่อน แล้วจะแจงให้ทะลุตลอดให้เห็น
รู้แล้วก็รีบแก้ไขเสีย ก่อนที่กรรมหนักๆ มันจะทับจนหมดโอกาสแก้ แล้วอย่าหาว่าหลวงตาไม่สอนนะ สอนแล้ว ชี้แล้ว แจงแล้ว ยังดื้อ เห็นขี้ดีกว่าข้าว ก็เลือกทางเดินเองแล้วนะ หลวงตานะกำหนดจิตไว้แล้วละว่าต่อไปจะอย่างไร
เมื่อวานเป็นวันวินาศ ครูแดงสังเกตเห็นตัวเลขที่นาฬิกาที่ตั้งไว้ในรถ ถามว่าเลขสามเลขแปดที่จอนาฬิกานั้นคืออะไร พอดูก็บอกว่า เดือนสามวันที่แปดไง เธอก็ถามว่ามีความหมายอย่างไรไม๊ ครูแดงนี่ใช้ได้จริงๆ เคยสอนเรื่องเลขไว้แล้ว เธอก็ทำไก๋ต้องการให้หลวงตาอธิบายให้ทุกคนได้ยิน ก็เลยอธิบายว่า อย่างที่บอกเมื่อเช้าก่อนเดินทางไง ว่าวันนี้ให้เตรียมตัวเตรียมใจ อาจจะไม่ราบเรียบอย่างที่ตั้งใจ แต่แล้วที่สุดทุกอย่างก็สงบดี ผู้ช่วยพยายามสตาร์ทรถเท่าไรๆ ก็ไม่ติด ดีละเป็นโอกาสปัญหาเล็กแล้ว ไม่เป็นไร หลวงตาบอกว่าลงมาเดี๋ยวจัดการเอง ก็ผ่านไป เดินทางไปก็มีการเปลี่ยนแผนเล็กน้อย ก็บอกว่าดี เป็นเหตุดี ทำให้ทุกอย่างราบเรียบแน่นอน กำหนดจิตดูเหตุการณ์ต่างๆ แล้วก็ไปพักที่บ้านป้าอิ้ง เนื่องจากอาจารย์เนียรไม่ได้กลับไปที่วัด ไปรอพบคนนัด รอนานมาก แต่ก็ต้องรอ เดี๋ยวมันจะถูกนินทา คนนอกนะชอบนินทา จึงนั่งรอกันทั้งหมดที่บ้านป้าอิ้ง ตรวจเรื่องไปคุยกันไป หลวงตาจึงได้พูดขึ้นว่า มีคนพูดจานินทาเรื่องเงินๆ ทองๆ นี่แหละ จึงบอกกะป้าอิ้งว่า เรื่องนี้หลวงตาได้เตรียมการป้องกันไว้ทุกอย่างแล้ว ป้าแดง(ครูแดง)เป็นคนรักษาเงิน ย่อมมีปากหอยปากปูพูดเข้าหูเบาๆ ของเจ้าสำนักยายชี เธอหนักไม่เป็นเลยเสียคน เมื่อวานเย็น ทุกอย่างมาดี มาถึงสำนักฯก็พังครืนลง ที่ว่าน่าจะดีแล้วนะ หมดเลยยายชี วันนี้หลวงตาเห็นทีจะต้องเหนื่อย หรือไม่ก็วางเสีย ปล่อยให้วัดป่าสุธัมมารามพินาศไปเสีย จะได้ไม่ต้องมาระวังรักษา เบื่อกับพวกใช้ชุดขาวห่อกาย แต่ว่าใจชั่วร้ายปากสุนัขจริงๆ
วันนี้พอดีกว่า ว่าต่อมันจะเลอะเทอะ ขอพื้นที่เว็บมาสเตอร์หน่อยนะ
มันเรื่องความรู้ทั้งนั้นแหละ เป็นอุทาหรณ์ ว่าครูบาอาจารย์สอนอะไร ก็เอาไปพิจารณา ไม่ใช่เอาไปพูดจา แล้วที่สุดก็ตายเพราะปากนั่นแหละ เสียดายเวลา ทำท่าจะดี มันไม่พ้นสักคน เหมือนกันหมด พระพุทธศาสดาจึงไม่ให้มีภิกษุณีไง มันถึงได้มีเรื่องเป็นประจำ แล้วที่สุดพระศาสนาก็พังลง เพราะพวกนี้แหละ กาลข้างหน้านะ อาจจะนานถ้าแก้สันดานได้ แต่ยังไงก็พัง อาจจะไวถ้ายังไม่แก้ไขสันดานกัน แต่ว่าทุกวันนี้เห็นชีหัวดำเป็นใหญ่มากเลย สงสัยจะพังไม่นานดอก หลวงตาคนเดียวสู้ไม่ไหวดอก คนในก็จะไล่คนนอกก็จะตี เห็นทีจะม้วนกันละคราวนี้ ฮะฮะฮ่า....บอกแล้วไงว่าห้าปี นี่ถึงแล้ว
เหมือนเดิม ขอบุญจงรักษาผู้บำเพ็ญบุญ จงพ้นจากภัยพิบัติ ขอจงกำจัดตัวเองได้ในเวลาอันงาม เพื่อความผาสุขนิรันดร์ สาธุ สาธุ บุญรักษา ถ้าว่าอะไรไประคายอารมณ์ ก็ขอเว็บมาสเตอร์ตัดทอนได้ตามแต่เห็นควร ท่านมีสิทธิโดยชอบ
หลวงตา