ไขปัญหาธรรมบนเว็บบอร์ด

ยินดีต้อนรับ, ผู้เยี่ยมชม
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน.    ลืมรหัสผ่าน?

ไขปัญหาธรรม ตอน คำว่า " ตาย "
(1 viewing) (1) ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
Go to bottom
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1
หัวข้อ : ไขปัญหาธรรม ตอน คำว่า " ตาย "
#163
ไขปัญหาธรรม ตอน คำว่า " ตาย " 12 ปี, 2 เดือน ก่อน  
วันนี้หลวงตามาแปลก ในวาระ ปีใหม่ ปีมะโรง หลวงตาเห็นว่าน่าจะหยิบยกเรื่อง “ ตาย ” มาพูดกัน เหตุเพราะมีคนเป็นทุกข์จากคำทำนายของหมอดู นักพยากรณ์ มากมายที่ไปหาหลวงตา ด้วยความทุกข์ที่ได้รับคำทำนายเช่นนั้น ซึ่งครั้งหนึ่งหลวงตาก็เคยผ่านวิกฤตนั้นมาแล้ว ไม่มีใครทำนายให้ดอก แต่เพราะลองทำนายตนเอง ไม่ว่าเลข ไม่ว่าจักรราศี หวังที่จะค้นหาเวลาตกฟากที่แน่นอนที่สุด หวังว่าจะได้หลักของโหราจารย์ไทยแต่โบราณกาล ที่สามารถหยั่งรู้ได้ภายในสี่นาที คือทุกๆ หนึ่งองศาในหนึ่งวัน ซึ่งมีหนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบนาที ที่สุดก็เห็นว่าต้องตาย อายุสั้นอย่างที่เคยมีซินแสบอกไว้เมื่อวัยเด็ก

อันที่จริง คำว่าตายนี้ ถ้ามองกันอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เป็นเรื่องศิริมงคลยิ่ง แต่เพราะว่าเราทั้งหลาย เอาจิตไปกำหนดว่าเป็นเรื่องไม่เป็นมงคล อำนาจของความไม่เป็นมงคลก็ปรากฎเด่นชัดกว่าความเป็นศิริมงคล

อย่างที่เคยได้นำเอาคำของครูอาจารย์ที่ท่านสั่งสอนเอาไว้ว่า “ จิตเป็นพลังงานรูปหนึ่ง มีอำนาจ สร้างรูปได้ ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำ ” เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และดำเนินจิตไปตามคำสอนนี้ ก็จะเข้าใจและศิโรราบในคำสอนขององค์พระพุทธศาสดา ที่สอนสั่งเอาไว้ทั้งหมด คำสอนของพระพุทธองค์นั้น เหนือยิ่งที่สุดแล้ว ข้ามสวรรค์ ข้ามพรหม เข้าสู่ขอบเขตแห่งความว่างเปล่าสิ้นสุด หยุดทุกข์ได้ทั้งมวล ไม่เกิดใหม่อีกแล้ว เพียงวลีเดียว “ จิตผ่องใส

ก็เพราะยังมีชิวิตอยู่ กายยังไม่แตก เราทั้งหลายนั้น ตายเกิด เกิดตาย ซ้ำซากอยู่อย่างนี้ นับภพชาติไม่ถ้วน เมื่อกายแตก ก็ต้องเปลี่ยนร่างกาย อาศัยกายใหม่ที่ได้มา จะพอใจหรือไม่พอใจนั้น ขึ้นอยู่กับกรรมที่สร้างที่ทำมาก่อน นี่เรียกว่ามองไกลไปถึงการเกิดใหม่ในกายใหม่ แต่ถ้ามองใกล้ๆ เพียงแค่วินาทีเดียว กายหลังนี้ก็เป็นสุสาน ให้จิตตายดับไป และก็กายหลังนี้อีกแหละ ก็เป็นที่ให้จิตได้เกิดใหม่ เป็นอย่างนี้ไปจนกว่า “ ตายเพราะกายแตก ” ซึ่งเป็นวลีที่องค์พระพุทธศาสดาตรัสแสดงแก่สาวกทั้งหลายเป็นประจำ

จิตผ่องใส ” และ “ จิตเศร้าหมอง ” ก็เช่นกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้อย่างหาที่จะมีคำสอนใดๆ มาลบล้างได้ องค์พระพุทธศาสดาทรงแสดงให้เห็นว่า “ จิตที่ผ่องใส เศร้าหมองได้ เพราะอุปกิเลสที่จรมา ” และ “ จิตที่เศร้าหมอง ผ่องใสได้ เพราะอุปกิเลสที่จรมา ” ก็ในเมื่อเรายังเป็นผู้ไม่รู้ ยังเขลาอยู่ ยังหลง ยังประมาทอยู่ ยังไม่ชำระจิตให้ผ่องแผ้ว เราย่อมเป็นไปตามยถากรรม ย่อมไม่สามารถควบคุมจิตคือความคิดของตน ยังปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ปรุงแต่งด้วยสัญญา คือจิตที่เป็นอดีตประกอบกับเหตุปัจจุบัน ทำให้สร้างจินตนาการอันเป็นอนาคต ฝากฝังเอาไว้ในจิตเป็นสัญญาใหม่ แต่ไม่ได้ทำบันทึกว่า ตัวนี้ได้มาจากอะไรผสมกับอะไร ที่สุดก็หลง ปรุงแต่งไป ด้วยอาศัย “ รูป เวทนา สัญญา สังขาร( การปรุงแต่ง ) วิญญาณ( ความรับรู้อารมณ์ ประสาทสัมผัส ปลายประสาท )”ซ้ำซากจนหาที่เกิดไม่พบ หาที่จบไม่ลง

ก็ในเมื่อเรารู้ว่า “ จิตเป็นพลังงานรูปหนึ่ง ” ตัวเจ้าของเองนั่นแหละที่เป็นผู้ที่สามารถควบคุมพลังงานนี้ จะไปอาศัยใครที่ไหนควบคุมให้ ถ้าตัวเจ้าของไม่ควบคุมเอง ความฉิบหายย่อมเกิดขึ้นแก่ตัวเจ้าของเอง ด้วยเพราะจิตนี้ที่เป็นพลังงานมัน “ มีอำนาจ ” ในเมื่อมีอำนาจ ถ้าไม่ควบคุมให้ดี ย่อมแสดงอำนาจไปในทางเสื่อมอย่างแน่นอน สร้างความโกลาหล ความฉิบหายได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่าควบคุมการปรุงแต่งไม่ได้ มันจึงสร้างรูปแบบต่างๆ แห่งความเสื่อม ความโกลาหล ทำลายล้างได้อย่างไม่รู้จบสิ้น ก็เพราะว่า พลังงานที่มีอำนาจนั้นไม่อาจควบคุมให้ดีได้ มันจึง “ สร้างรูป ” แบบที่เรียกว่าไร้สาระ หรือจะพูดได้ว่า เป็น “ สาระเลว ” ไม่อยู่ในฝักฝ่ายแห่งผู้มีสาระ หรือ “ สาระอุดม ” หรือ “ อุดมสาระ ” อย่างนี้เป็นต้น มีเรื่องที่พวกไร้สาระสร้างได้มากมาย “ กรรมที่ทำ ” ก็ด้วยความมักง่าย ไร้คุณธรรม ชอบซ้ำเติม เมินความถูกต้อง จ้องทำลายล้างข้างหลัง สร้างสถานการณ์ จองล้างจองผลาญ ก่อกรรมทำเข็ญ ไม่เห็นแก่หมู่คณะใหญ่ เอาแต่ใจตัว เมามัวอำนาจ ทำลายล้างคนดี มีอีกมากมายบรรยายไม่รู้ที่สิ้นสุด ก็เพราะว่าจิตที่ไร้สาระปรุงแต่งแต่เรื่องสาระเลว เหล่านี้เรียกว่า “ ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำ ” จริงๆ

ในเมื่อได้รับรู้แล้วว่า " จิตเป็นพลังงานรูปหนึ่ง มีอำนาจ สร้างรูปได้ ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำ " เราทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่กอร์ปไปด้วย ความอุดมในสาระ เป็นสาระงาม เป็นสาระอุดม ย่อมต้องฝึกฝนพากเพียรรักษาจิต ให้ทำแต่ความดีงาม เพื่อจิตนี้จะได้ละทิ้ง หรือว่าห่างไกลจากความไม่ดีที่เป็นสาระเลว ฝึกฝนพากเพียรอยู่เป็นประจำ แค่ “ เว้น ว่าง ห่าง ละ ” สี่คำจำให้ขึ้นใจ ทำได้อย่างนี้ ไม่นานก็เกิดปัญญา คำว่า “ ตาย ” ก็เข้าใจได้ไม่ยาก

ตาย ” สรรพสัตว์ตายได้ตลอดเวลา ไม่เที่ยง เอาว่ากันที่มนุษย์ ที่แบ่งออกเป็นห้า ถ้าก้าวพ้นระดับที่สาม เข้าสู่ มนุสส มนุสโส ที่อุดมไปด้วยศีลห้า ก็เพียงพอที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ ไม่เกรง ไม่หวั่นไหว ไม่ปรุงแต่งกับคำว่าตาย ตรงข้ามกลับจะเห็นว่าเป็นความจริง เป็นสัจจะ สรรพสัตว์ สรรพสิ่ง ย่อมต้องสิ้นอายุ ต้องเสียหาย ถูกทำลาย ล้มตายไปเป็นธรรมดา ตายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ก็คือ ชาติ ชรา มรณะ หมุนซ้ำเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไปหาที่สุดมิได้

ในเมื่อมี “ ชาติ ” คือความเกิดขึ้น ย่อมต้องมี “ ชรา ” คือการใช้เวลาให้ผ่านไป หรือจะเรียกว่า “ กาล ” ก็ไม่ผิด ในช่วงของกาลนี้ หลวงตาแทนด้วยคำว่า “ เรียนรู้ ” เมื่อเรียนรู้เข้าใจในเรื่องนั้นๆ แล้ว ย่อมต้องดับไป เพื่อที่จะให้เกิดเรื่องใหม่ได้ หลวงตาจึงนำเอาคำสอนขององค์พระพุทธศาสดาทั้งสองเรื่องมาผนวกกัน แล้วกล่าวว่า “ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เรียนรู้ ดับไป ” ตรงคำว่า ตั้งอยู่ นั้น เป็นช่วงรอยต่อของเกิดและชรา เรียกว่า ปัสสัทธิ คือ “ การรวบรวมและประมวลมาซึ่งองค์ความรู้ ” รวบรวมจากตรงไหน ก็จากจุดศูนย์ที่มีการเกิดขึ้นครั้งแรก แล้วดำเนินไปจนถึงจุดสูงสุด ที่เรียกว่า ตั้งอยู่ แล้วก็ตกลงมาเหมือนรูปคลื่น ณ จุดระหว่างตั้งอยู่และชรา มีการเลียนแบบพฤติกรรม จากจุดเริ่มต้นจนถึงสูงสุด ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้เรื่อยไป การแก้ไขก็ย่อมไม่เกิดขึ้น เมื่อต้องการจะแก้ไข ก็แก้ไขในระหว่างนี้ ตรงที่รวบรวมประมวลองค์ความรู้ ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้อง ก็แก้ไขเสีย จะด้วยลองผิดลองถูก ก็ล้วนเป็นองค์รู้ทั้งสิ้น ขบวนการแก้ไขตรงนี้แหละ คือ “ สะจิตตะปริโยทะปะนัง

ก็ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว “ ตาย ” หมายความว่าอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าของเองแล้ว จะเป็น ตายเพราะกายแตก ก็ปล่อยไปตามยะถา เหมือนเมื่อครั้งหนึ่ง ได้พบอิตถีสตรีเพศนางหนึ่ง ได้รับคำทำนายจากคนดังสิบพร ว่า เมษาฯก็ตายแล้ว นุ่งขาวห่มขาวไปอย่าเว้น ก็สงสาร เห็นปล่อยตัวไปตามยะถา หน้าตาเศร้าหมอง ยิ้มหัวแบบทำใจแล้ว ก็เลยบอกว่า ไม่ตายเพราะหมดชีวิตดอก ชวนให้ปฏิบัติธรรมซึ่งจะจัดขึ้น สามวันห้าวัน เธอก็มา ที่สุดก็บอกไปว่า ตายนะตายแน่ แต่ว่าตายไปจากชีวิตปัจจุบัน ให้ละวางเรื่องราวธุระปัจจุบันให้หมด อย่าห่วง อย่าหวง แล้วตั้งใจกลับบ้านที่อุดร ไปช่วยพ่อแม่ทำธุรกิจเถิด ความเจริญรุ่งเรืองจะเกิดขึ้นแก่ครอบครัว เธอก็ดีใจกราบลาไปอย่างมีความสุข เก็บข้าวของมุ่งสู่อุดรทันที เจอกันเมื่อหลายปีก่อน ก็สบายดี กิจการที่บ้านที่อุดร ก็เจริญก้าวหน้า มีการขยายกิจการ สร้างอาคารใหญ่โต เมื่อไม่นานมานี้ ก็ได้ยินข่าวคราวว่าคุณแม่เธอป่วยหนัก ว่าจะถามไถ่ แต่มีคนบอกว่าเขาไม่ศรัทธาหลวงตา ก็เลยเฉยเสีย นี้ก็กรรมที่ทำเหมือนกัน มีเรื่องมากมาย ล้วนมาจากการทำนายทายทักของหมอดูทั้งสิ้น ที่ไปหาหลวงตาแล้วถามไถ่ขอพร ก็แก้ไข ทำความเข้าใจในเรื่องตายให้ก็มาก

มีอยู่รายหนึ่ง บอกว่ารู้ได้ด้วยตนเองว่าจะต้องตายในอีกสองปี เมื่อมองดูแล้วก็เห็นว่า น่าจะเป็นเรื่องดี จึงชี้แนะไป ให้ปล่อยวางเรื่องทั้งหลายลง แล้วปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ตามที่ได้ให้สัจจะวาจาไว้ ว่าจะอยู่ปฏิบัติธรรมสิบห้าวัน แต่ก็ยังไม่เคยได้สักครั้ง เห็นทีคราวนี้จะได้ลงมือจริงจังเสียที จะได้ตายจากโลกๆ แล้วเกิดใหม่ในโลกุตระโลก แต่เพราะกรรมเบี่ยงเบน สัจจะวาจานั้นมันไม่จริง เธอจึงได้วิ่งไปชนปังตอที่เขารออยู่ ชักชวนไปเกิดในที่ที่ต่ำกว่าที่เคยเป็น พร้อมทั้งกล่าวหาว่า หลวงตาเป็นคนบอกว่าจะต้องตาย ตอนนี้เขาไม่ตายแล้วละ เพราะว่าไม่เชื่อหลวงตาเดินในทางใหม่ ใช่เดินในทางใหม่ ทางที่เลวกว่าเดิม อย่างนี้ก็ไม่ตายแน่ ไม่ได้ตายจากโลกียะโลก ไม่ได้เกิดในโลกุตระโลก แต่ว่าจมดิ่งลงสู่อบายแน่นอน ทั้งๆ ที่ทำกุศลอยู่เป็นประจำ ทำไมถึงได้ลงสู่อบายละ ก็เพราะไม่มีวาจาที่เป็นสัจจะเลย แถมพกไปด้วยการกล่าววาจาทำลายครูอาจารย์ที่หวังดีด้วย ฮึฮึ นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

แถมเรื่องดีให้สักอีกเรื่องเป็นการปิดท้ายเรื่อง “ ตาย ” นี้ ก็เมื่อไม่นานสองสามเดือนที่ผ่านมาเห็นจะได้ ครูสา เกิดล้มลงในห้องน้ำ พอดีหลาน ออย พบเข้า ช่วยกันปฐมพยาบาล แล้วนำตัวส่งโรงพยาบาลที่จังหวัดเลย เธอหมดสติไปนานจนทุกคนเป็นห่วง พอฟื้นคืนสติมา ก็ถามหาหลวงปู่ ( คือตัวหลวงตาเอง ) ทุกคนก็บอกว่าไม่มี ไม่ได้มา เธอก็ยืนยันว่ามา ก็เมื่อก่อนจะกลับมานี่ มีคนมาถามคำถามว่าเคยทำความดีอะไรบ้าง ครูสาก็จำความอะไรไม่ได้ ถามว่าเคยปฏิบัติธรรมไหม ก็จำไม่ได้ พอดีหลวงปู่มาตอบให้ ถึงได้ฟื้นคืนมา นี่ก็เพราะทำกรรมดี(เคยเข้าค่ายปฏิบัติธรรม ณ โรงเรียนแสงตะวันพัฒนา จ.เลย ) จึงรอดพ้นจากความตายเพราะกายแตกมาได้

ยังมีเรื่องทำนองนี้อีกเยอะ เมื่อไม่กี่วันนี้ก็มีคนถาม เหตุเพราะหมอดูทำนายให้ทั้งนั้น น่าสงสารยิ่ง เป็นอาชีพที่ทำดีก็ได้ ทำร้ายก็ได้ ถ้าไม่มีคุณธรรมก็ทำแต่ความชั่วร้ายไร้สาระ ไม่เว้นพระดังบางรูปนะ ทำนายว่าคนร้ายจะได้ดีเป็นคำรบสอง มันถึงได้ผยองยิ่งนัก ระวังเถอะท่าน ลาภ ยศ สรรเสริญ มันมีแต่พาให้ฉิบหาย ไม่เห็นมีใครได้ดีกันสักราย ตายแล้วก็ลงนรกกันทั้งนั้น ว่างมากก็ขยันพิจารณาตนเองอยู่เป็นประจำนะท่าน จิตแบบนี้เป็นจิตร้าย ไร้สาระ หรือมีแต่สาระเลว แค่จิตที่มีแต่สาระเลว สำหรับนักบวชแล้ว ท่านเรียกว่า ปราชิกะ หรือ เป็นผู้ที่พ่ายแพ้ต่อความดีงามแล้วละ ครองผ้า กินข้าวชาวบ้านอยู่ต่อไป ก็เหมือนเอาไฟห่อตัว กินถ่านร้อนๆ ตลอดกาล อีกนานกว่าจะได้กลับมาเป็นคนแก้ตัวแก้ไข รีบๆ ไวๆ พิจารณาตอนนี้อาจยังไม่สาย

บุญรักษา
หลวงตา


ใส่รหัสที่นี่   
กล่องตอบด่วน
Kittiyano

Reply Quote
 
Go to top
ตอบกลับ
เริ่มหัวข้อใหม่
หน้า: 1