วัดป่าสุธัมมาราม
เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา: พระจูฬปันถกเถระ กัณฑ์ที่ ๑
พระธรรมบทเทศนา
พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา
(๓) เรื่องพระจูฬปันถกเถระ [๑๗ ]
กัณฑ์ที่ ๑
--------------------------
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
อุฏฐาเนนปฺปมาเทน สญฺญเมน ทเมน จ
ทีปํ กยิราถ เมทวี ยํ โอโฆ นาภิกีรตีติ.
บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนา เรื่องพระจุฬปันถกเถระ อันมีมาในคัมภีร์อรรถกถาพระธรรมบท ขุททกนิกาย อัปปมาทวรรคที่ ๒ แห่งพระสุตตันตปิฎก นับเป็นลําดับเรื่องที่ ๑๗ เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธีส่วนธรรมสวนมัยสืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า –
สตฺถา เวฬุวเน วิหรนฺโต - สมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จประทับพระอิริยาบถอยู่ ณ วัดพระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลาย โดยทรงปรารภพระจูฬปันถกเถระให้เป็นอุปบัติเหตุ ซึ่งมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้
ราชคเห คิร - ได้ยินมาว่า ยังมีธิดาของตระกูลธนเศรษฐีอยู่คนหนึ่งในกรุงราชคฤห์ ในเวลาที่เธอเจริญวัยใหญ่เป็นสาว มารดาบิดารักษาอย่างกวดขันให้อยู่ชั้นบนแห่งปราสาท ๗ ชั้น แต่เธอเป็นหญิงที่ชอบเกี่ยวเกาะเหลาะแหละในผู้ชาย เพราะหลงใหลมัวเมาในความเป็นสาว ต่อมาจึงได้ทําสันถวะกับคนใช้ของตนเอง แล้วเกิดความกลัวขึ้นมาว่า แม้คนอื่นๆ ก็จะพึงล่วงรู้ถึงกรรมของเรานี้จงได้ จึงได้ปรึกษากับคนใช้ว่า “ เราทั้งสองจะไม่อาจอยู่ ณ ที่นี้ต่อไป ถ้าคุณแม่คุณพ่อจักล่วงรู้ความผิดของเรานี้ขึ้น ท่านก็จักสับเราให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่เป็นแน่ เราควรจะหลบหนีไปอยู่ในที่ต่างถิ่น “ ครั้นแล้วคนทั้งสองนั้นเก็บเอาสิ่งของที่เป็นสาระเท่าที่จะถือไปได้ด้วยมือในเรือน แล้วก็พากันหนีออกทางประตูด้านเหนือ ปรึกษากันว่า เราจะไปอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่ไม่มีคนอื่นรู้จัก แล้วก็พากันเดินทางไป เมื่อสองสามีภริยานั้นพากันไปอยู่ ณ ที่ตําบลหนึ่ง อาศัยการอยู่ร่วมกัน ฝ่ายภริยาก็ได้ครรภ์ขึ้นมา ครั้นเมื่อครรภ์แก่แล้ว ภริยาได้ปรึกษาสามีว่า “ ครรภ์ของฉันแก่เต็มที่แล้ว ธรรมดาการคลอดบุตรในสถานที่ที่ปราศจากญาติพี่น้อง ย่อมจะนําความลําบากมาให้แก่เราแม้ทั้งสอง เราควรจักกลับไปเรือนแห่งตระกูลดีกว่า “ ฝ่ายสามีด้วยเกรงกลัวว่า ถ้าเราจักขืนกลับคืนไปที่บ้านนั้น ชีวิตของเราคงจะไม่รอดแน่ แล้วจึงพูดผัดผ่อนกับภริยาว่า “ เราจักไปวันนี้ “ “ เราจักไปพรุ่งนี้ “ จนล่วงเลยมาหลายวัน ก็มิได้พาภริยากลับไป ฝ่ายภริยาคิดว่า พ่อคนนี้ขี้ขลาด ไม่กล้าที่จะพาเรากลับไป เพราะตนมีความผิดมาก ธรรมดามารดาบิดานั้น เป็นผู้มุ่งประโยชน์โดยส่วนเดียว พ่อคนนี้เขาจะไปหรือไม่ไปก็ตามทีเถิด เราจักต้องไปให้ได้ ครั้นแล้วเมื่อสามีออกจากบ้านไปป่า นางเก็บงําสิ่งของในบ้านเรียบร้อยแล้ว บอกแก่เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงถึงการที่ตนจะกลับไปสู่เรือนแห่งตระกูล แล้วก็ออกเดินทางไป ด้วยประการฉะนี้
โสปิ ฆรํ อาคนฺตฺรา - ฝ่ายสามีนั้นครั้นกลับมาถึงไม่เห็นภริยาจึงถามคนบ้านใกล้เรือนเคียงดู ครั้นรู้ว่าภริยากลับไปเรือนตระกูลแล้ว จึงรีบติดตามไปโดยเร็ว แล้วก็ไปทันในระหว่างทางพอดี แม้ภริยาของเขาก็ได้คลอดบุตร ณ ที่ตรงระหว่างทางนั้นนั่นเอง สามีจึงถามว่า “ นี่อะไรกัน ? “ ภริยาตอบว่า “ พี่บุตรชายของเราคนหนึ่งเกิดแล้ว “ สามีพูดว่า “ คราวนี้เราจักทําอย่างไรกันเล่า ? “ ฝ่ายภริยาได้ให้ความเห็นว่า “ เราจะกลับไปเรือนแห่งตระกูลเพื่อการใด การนั้นก็ได้สําเร็จเสียแล้วในระหว่างทาง เราจักกลับไปเรือนตระกูลทําอะไร กลับคืนเสียดีกว่า “ ทั้งสองสามีภริยามีใจตรงกัน จึงได้พากันกลับคืนมายังที่อยู่ของตนตามเดิม ก็เพราะทารกนั้นได้เกิดในระหว่างทาง เขาจึงตั้งชื่อบุตรของเขาว่า ปันถกะ ครั้นอยู่ต่อมาไม่นานสักเท่าไร ภริยาก็ได้ตั้งครรภ์ขึ้นใหม่อีก แล้วนางก็วิงวอนสามีให้พากลับไปคลอดที่ตระกูล และในที่สุดก็ได้หลบหนีไป และได้คลอดบุตรที่ระหว่างกลางทางเหมือนครั้งแรกทุกประการ เพราะทารกนั้นได้เกิดในระหว่างทางเหมือนกัน เขาจึงได้ตั้งชื่อบุตรคนเกิดที่แรกว่า มหาปันถกะ คนที่เกิดภายหลังว่า จูฬปันถกะ แล้วสองสามีภริยานั้นก็ได้พาบุตรทั้งสองกลับคืนมายังที่อยู่ของตนตามเดิมอีก เมื่อพ่อแม่ลูกทั้ง ๔ คนนั้น อยู่ ณ ที่นั้น ต่อมาเด็กชายจูฬปันถกะได้ยินบรรดาเพื่อนเด็ก ๆ ด้วยกันเรียกขานว่า คุณอา คุณลุง และคุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย ดังนี้ จึงถามมารดาว่า “ คุณแม่ครับ เด็กๆ พวกอื่นเขาย่อมเรียกขานว่า คุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย ดังนี้ ญาติๆ ของเราไม่มีบ้างหรือครับ ? “ มารดาตอบว่า “ เออลูก ณ ที่นี้พวกญาติของเราไม่มี แต่ในเมืองราชคฤห์ โน้น ธนเศรษฐีเป็นคุณตาของพวกเจ้า ในเมืองราชคฤห์นั้นญาติของเรามีมาก “ เด็กชายมหาปันถกะถามว่า “ เพราะเหตุไรเราจึงไม่ไปอยู่ในเมืองราชคฤห์นั้นเล่าคุณแม่ “ ฝ่ายมารดาไม่กล้าบอกเหตุที่ตนหนีมาตามความจริงแก่บุตร แต่เมื่อบุตรเพียรถามอยู่แล้วๆ เล่าๆ จึงพูดกับสามีว่า “ พวกเด็กๆ นี้มันรบกวนฉันให้ลําบากใจเหลือเกิน มารดาบิดาเห็นเราแล้ว ท่านจักกินเนื้อเราเชียวหรือ บัดนี้เรามาไปแสดงบอกตระกูลของคุณตาให้แก่พวกเด็กๆ เถิด “ สามีตอบว่า “ ฉันจักไม่กล้าไปประเชิญหน้ากับมารดาบิดาได้ แต่ก็จักพาพวกเด็กๆ มันไป “ ภริยาสนับสนุนว่า “ ดีแล้วพี่ การที่เราบอกตระกูลของคุณตาให้พวกเด็กๆ ทราบ ด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น สมควรทีเดียว “ ครั้นแล้วทั้ง ๒ สามีภริยาก็ได้พาบุตรทั้งสองไป บรรลุถึงเมืองราชคฤห์โดยลําดับแล้วไปพักอาศัยอยู่ที่ศาลาหลังหนึ่งใกล้ๆ กับประตูเมือง มารดาของเด็กจึงสั่งความไปเรียนแด่มารดาบิดาถึงการที่ตนได้พาบุตรทั้งสองมาถึงแล้ว ฝ่ายมารดาบิดาครั้นได้ทราบข่าวนั้นแล้ว ได้มอบทรัพย์ส่งให้ทูตไปพร้อมกับสั่งว่า “ เมื่อคนเราทั้งหลายยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนั้น คนที่จะไม่เคยเป็นบุตรไม่เคยเป็นธิดาของกันและกันนั้นย่อมไม่มี คนทั้งสองนั้นมันมีความผิดต่อเรามาก มันจึงไม่กล้ามาอยู่ต่อหน้าต่อตาเรา ขอให้มันทั้งสองนั้นรับเอาทรัพย์จํานวนเท่านี้แล้ว จงไปเลี้ยงดูกันอยู่ในที่อันสบายเถิด แต่จงให้เขาส่งเด็กทั้งสองนั้นมาที่นี้ “
เต เตหิ เปสตํ ธนํ คเหตฺวา - ฝ่ายสองสามีภริยานั้นรับเอาทรัพย์ที่มารดาบิดาส่งมาให้แล้ว ก็ส่งเด็กทั้งสองให้ในมือของพวกฑูตที่มานั้นไป เด็กทั้งสองนั้นก็ได้เจริญวัยเติบโตอยู่ในตระกูลของท่านตาท่านยายเทียว ในเด็กทั้งสองคนนั้นเด็กชายจูฬปันถกะยังเด็กมาก ส่วนเด็กชายมหาปันถกะไปฟังพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระทศพลพุทธเจ้าพร้อมกับท่านตาได้ เมื่อเด็กชายมหาปันถกะนั้นไปยังสํานักของสมเด็จพระบรมศาสดาอยู่เนืองนิจเช่นนั้น จิตใจของเธอก็ได้น้อมเอียงไปในการบรรพชา อยู่มาวันหนึ่งเธอจึงได้เรียนกับท่านตาว่า “ คุณตาครับ ถ้าคุณตาอนุญาตให้ผม ผมก็จะบวช “ ท่านตาพูดว่า “ เจ้าพูดอะไรหลาน การบวชของหลานเป็นความดีสําหรับตายิ่งกว่าการบวชของชาวโลกทั้งสิ้น ถ้าหลานกล้าที่จะบวช ก็จงบวชเถิด “ ครั้นแล้วก็ได้พาเด็กชายมหาปันถกะนั้นไปยังสํานักของสมเด็จพระบรมศาสดา เมื่อสมเด็จพระพุทธองค์ตรัสถามว่า “ ท่านคฤหบดี ท่านได้เด็กมาด้วยหรือ ? “ ท่านคฤหบดี ธนเศรษฐี กราบทูลว่า “ พระพุทธเจ้าข้า เด็กคนนี้เป็นหลานของข้าพระพุทธเจ้า เธอมีความปรารถนาอยากจะบวชในสํานักของสมเด็จพระพุทธองค์ “ ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงรับสั่งกับภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่งว่า “ เธอจงจัดการบวชให้เด็กนี้ “ พระเถระสอนตจปัญจกกรรมฐานให้แก่เด็กชายมหาปันถกะแล้วก็ให้บวชเป็นสามเณรตามพระพุทธบัญชา สามเณรมหาปันถกะนั้น ครั้นบวชแล้วเรียนพระพุทธวจนะได้เป็นอันมาก เมื่ออายุครบแล้วก็ได้อุปสมบท พยายามบําเพ็ญกรรมฐานอยู่โดยโยนิโสมนสิการ ก็ได้บรรลุพระอรหันต์ แล้วยังวันคืนให้ล่วงไปด้วยความสุขในฌาน และด้วยความสุขในผลสมาบัติ จึงคิดถึงน้องชายขึ้นว่า สามารถที่จะให้ความสุขนี้แก่จูฬปันถกะหรือไม่หนอ ? แต่นั้นจึงไปยังสํานักของท่านเศรษฐีผู้เป็นท่านตา แล้วพูดว่า “ ท่านมหาเศรษฐี ถ้าท่านอนุญาต อาตมาจะให้จูฬปันถกะบวช “ ท่านตาอนุญาตทันทีว่า “ นิมนต์ท่านให้เขาบวชเถิด พระคุณเจ้าผู้เจริญ “ ได้ยินว่าท่านธนเศรษฐีนั้นเป็นผู้เลื่อมใสมากในพระศาสนา และเมื่อมีใครมาถามว่าเด็กพวกนี้เป็นบุตรธิดาของท่านคนไหน ย่อมกระดากปากที่จะตอบว่าเป็นบุตรธิดาของคนที่หนีไป เพราะฉะนั้นจึงอนุญาตให้หลานทั้งสองนั้นบวชโดยง่ายดาย พระมหาปันถกเถระให้นายจูฬปันถกะน้องชายบวช ให้ดํารงตนไว้ในศีลทั้งหลาย ฝ่ายจูฬปันถกะนั้นพอบวชแล้วก็ได้กลายเป็นคนโง่ทึบ เมื่อพระมหาปันถกเถระจะสอนพระจูฬปันถกะนั้น ได้สอนพระคาถานี้อันมีมาในคัมภีร์สังยุตตนิกาย ซึ่งมีความว่า –
ปทุทมํ ยถา โกกนุทํ สุคนฺธํ
ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนธํ
องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ
ตปนฺตมาทิจฺจมิวนฺตสิกเข.
เห็นไหมเล่า ดอกบัวชื่อ โกกนุท มีกลิ่นหอม บานแต่เช้า ไม่ปราศจาก
กลิ่นฉันใด พระอังคีรส ( คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ) ก็ฉันนั้น
เจิดจ้าอยู่ดูเหมือนกับพระอาทิตย์อันแจ่มจ้าอยู่กลางอวกาสเวหาส์ ฉะนั้น
พระคาถาเดียวนี้ พระจูฬปันถกะไม่สามารถจะเรียนจําได้เป็นเวลาถึง ๔ เดือน ถามว่า เหตุไร ? วิสัชนาว่าได้ยินมาว่า ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าโน้น พระจูฬปันถกะนั้น ได้บวชเป็นผู้มีปัญญาดี ได้ทําการหัวเราะเยาะเล่นในเวลาที่ภิกษุโง่ทึบรูปใดรูปหนึ่งเรียนพระบาลี ภิกษุโง่ทึบนั้นเกิดกระดากเพราะการหัวเราะเยาะนั้น เลยเลิกเรียนพระบาลีไม่ได้ทําการสาธยายต่อไปอีกด้วย กรรมนั้น พระจุฬปันถกะนี้พอบวชแล้ว จึงได้เกิดเป็นคนโง่ทึบ เมื่อเรียนบทต่อๆ ไป บทที่เรียนมาแล้วๆ ก็ลืมหายไปหมด เมื่อพระจูฬปันถกะนั้นพยายามเรียนเอาพระคาถานี้อยู่นั่นแล เวลา ๔ เดือนได้ล่วงเลยไปแล้ว ครั้งนั้น พระมหาปันถกะผู้พี่ชายจึงได้บอกกับพระจุฬปันถกะว่า “ จูฬปันถกะ เธอเป็นคนอาภัพ คือไม่สมควรในศาสนานี้เสียแล้ว ไม่สามารถจะเรียนจําเอาได้แม้เพียงพระคาถาเดียวตลอดเวลาถึง ๔ เดือน ก็เธอจักทํากิจของบรรพชิตให้ถึงขั้นสุดยอดได้อย่างไร เธอจงออกไปเสียจากที่นี้ “ ครั้นแล้วก็ขับให้ออกไปเสียจากวัด ฝ่ายพระจูฬปันถกะยังมีความเยื่อใยอาลัยอยู่ในพระพุทธศาสนา จึงไม่ปรารถนาที่จะสึกไปเป็นคฤหัสถ์ ด้วยประการฉะนี้
ตสมิญฺจ กาเล มหาปนฺถโก - ก็แลในกาลครั้งนั้น พระมหาปันถกะทําหน้าที่เป็นภัตตุเทสก์ คือผู้แจกภัตตาหารแก่สงฆ์ตามพระพุทธบัญญัติ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ถือเอาดอกไม้เครื่องหอมและเครื่องลูบไล้เป็นอันมาก แล้วไปยังอัมพวนารามบูชาสมเด็จพระบรมศาสดา ฟังพระธรรมเทศนาจบแล้วก็ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมสมเด็จพระทศพลแล้ว เข้าไปหาพระมหาปันถกะผู้ภัตตุเทสก์เรียนถามว่า “ พระคุณเจ้าผู้เจริญ ภิกษุในสํานักของสมเด็จพระบรมศาสดามีจํานวนเท่าไร ? “ พระมหาปันถกะตอบว่า “ ภิกษุมีประมาณ ๕๐๐ “ อุบาสกหมอชีวกโกมารภัจจ์เรียนอาราธนาว่า “ พระคุณเจ้าผู้เจริญ พรุ่งนี้ขอนิมนต์พระคุณเจ้านําภิกษุ ๕๐๐ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานไปรับภักษาหารในนิเวศน์ของกระผม ขอรับ “ พระมหาปันถกะตอบรับอย่างมีข้อยกเว้นว่า “ อุบาสก มีภิกษุโง่ทึบอยู่รูปหนึ่งชื่อจูฬปันถกะ ไม่มีธรรมะธัมโมเจริญงอกงามเลย อาตมาขอรับนิมนต์ภิกษุที่เหลือทั้งหลายให้แต่จะเว้นภิกษุนั้นเสีย “ ฝ่ายพระจุฬปันถกะครั้นได้ยินคําของพระพี่ชายดังนั้น จึงคิดตัดสินใจว่า พระเถระเมื่อจะรับนิมนต์ภิกษุทั้งหลายจํานวนมากถึงเพียงนี้ ก็รับนิมนต์โดยยกเราออกนอกบัญชี พี่ชายเราจักมีจิตคิดทําลายในเราโดยไม่ต้องสงสัย บัดนี้ เราจะธุระอะไรด้วยการทรงเพศอยู่ในพระศาสนานี้ เราจักสึกเป็นคฤหัสถ์แล้วทําบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้นเลี้ยงชีพอยู่ดีกว่า พอถึงวันรุ่งขึ้น พระจูฬปันถกะก็ออกไปแต่เช้ามืด ด้วยประสงค์เพื่อจะสึกเป็นคฤหัสถ์ต่อไป
สตฺถา ปจฺจสกาเลเยว - สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรวจดูหมู่สัตวโลกในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหตุนั้น จึงเสด็จพระพุทธดําเนินไปเสียก่อน แล้วไปเสด็จจงกรมอยู่ที่ซุ้มพระทวารตรงทางที่พระจูฬปันถกะจะเดินผ่านไป, เมื่อพระจูฬปันถกะเดินไปก็ได้เห็นสมเด็จพระบรมศาสดา จึงเข้าไปเฝ้ากราบถวายบังคม ขณะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า “ จูฬปันถกะ นี่เธอจะไปไหนในเวลานี้ ? “ พระจูฬปันถกะกราบทูลว่า “ พระพุทธเจ้าข้า พระพี่ชายขับข้าพระพุทธเจ้าออกจากวัดด้วยเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะไปสึกพระพุทธเจ้าข้า “ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรับสั่งกับพระจูฬปันถกะว่า “ จูฬปันถกะ ชื่อว่าบรรพชาของเธอนั้นเป็นสมบัติของเรา แม้เมื่อเธอถูกพระพี่ชายขับไล่ ทําไมเธอจึงไม่มาสํานักของเราเล่า กลับมาเถิด เธอจะธุระอะไรกับความเป็นคฤหัสถ์ เธอต้องอยู่ในสํานักของเราต่อไป ครั้นแล้วก็ได้ทรงเอาฝ่าพระหัตถ์ซึ่งมีพื้นวิจิตรไปด้วยจักรลูบคลําที่ศีรษะของเธอแล้วทรงพากลับคืนไป “ ทรงรับสั่งให้นั่งอยู่ที่หน้ามุขพระคันธกุฏี แล้วทรงประทานท่อนผ้าอันสะอาด ซึ่งทรงบันดาลขึ้นด้วยพระฤทธิ์ให้ พร้อมกับทรงแนะนําว่า “ จูฬปันถกะ เธอจงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ลูบคลําท่อนผ้านี้ บริกรรมว่า รโชหรณํ ผ้าเช็ดธุลี รโชหรณํ ผ้าเช็ดธุลี อยู่ ณ ตรงนี้แหละ พอดีภิกษุทั้งหลายกราบทูลเวลาภิกขาจาร สมเด็จพระพุทธองค์มีภิกษุสงฆ์เป็นบริวารก็ได้เสด็จคมนาการไปยังบ้านหมอชีวกโกมารภัจจ์ เสด็จประทับนั่งเหนือพระพุทธาอาศน์ ฝ่ายพระจูฬปันถกะมองดูพระอาทิตย์พลางนั่งลูบคลําท่อนผ้านั้น บริกรรมอยู่ว่า รโชหรณํ ผ้าเช็ดธุลี รโชหรณํ ผ้าเช็ดธุลี ดังนี้เรื่อย ๆ ไป เมื่อลูบคลําไปนาน ท่อนผ้านั้นก็ได้เศร้าหมองขึ้น แต่นั้นพระจูฬปันถกะก็เกิดความคิดขึ้นว่า ท่อนผ้านี้แต่แรกเป็นของสะอาดแท้ ๆ แต่เพราะได้อาศัยสัมผัสกับอัตภาพร่างกายของเรานี้แล้ว มันก็ละปกติเดิมเกิดเป็นของเศร้าหมองขึ้นอย่างนี้ สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงแท้แน่นอนหนอ ดังนี้แล้ว ก็เริ่มพิจารณาความสิ้นไปและความเสื่อมไปของสังขารธรรมทั้งหลาย เจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไป ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาก็ได้ทรงทราบด้วยพระญาณว่า จิตของพระจูฬปันถกะขึ้นสู่ทางวิปัสสนากรรมฐานแล้ว จึงทรงนฤมิตให้มีพระรูปปรากฏ ทรงเปล่งพระรัศมีไปเป็นดุจว่าประทับนั่งอยู่เฉพาะหน้า พลางทรงพระโอวาทว่า “ จูฬปันถกะ เธออย่าได้สําคัญเพียงท่อนผ้านี้เท่านั้นว่าเศร้าหมองแล้ว เปื้อนธุลีแล้ว แต่ธุลีคือ ราคะ เป็นต้นทั้งหลาย ย่อมมีอยู่ในภายในจิตสันดานของเธอ เธอจงนําธุลีเหล่านั้นออกเสีย “ ครั้นแล้วได้ตรัสพระธรรมเทศนาโปรด ด้วยพระคาถา ๓ พระคาถา ซึ่งมีข้อความว่า ดังนี้
ราโค รโช น จ ปน เรณุ วุจฺจติ
ราคสฺเสตํ อธิวจนํ รโชติ
เอตํ รชํ วิปฺปชหิตฺว ภิกฺขโว
วิหรนฺติ เต วิคตรชสฺส สาสเน.
ราคะต่างหากที่เรียกว่าธุลี หาใช่ละอองไม่ คําว่าธุลีนี้ เป็น ชื่อของราคะ
ภิกษุทั้งหลายนั้น ครั้นละธุลีนี้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลีได้.
โทโส รโช น จ ปน เรณู วุจฺจติ
โทสสฺเสตํ อธิวจนํ รโชติ
เอตํ รชํ วิปฺปชหิตฺว ภิกฺขโว
วิหรนฺติ เต วิคตรชสฺส สาสเน.
โทสะต่างหากที่เรียกว่าธุลี หาใช่ละอองไม่ คําว่าธุลีนี้ เป็นชื่อของโทสะ
ภิกษุทั้งหลายนั้น ครั้นละธุลีนี้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลีได้.
โมโห รโช น จ ปน เรณู วุจฺจติ
โมหสฺเสตํ อธิวจนํ รโชติ
เอตํ รชํ วิปฺปชิตฺว ภิกฺขโว
วิหรนฺติ เต วิคตรชสฺส สาสเน.
โมหะต่างหากที่เรียกว่าธุลี หาใช่ละอองไม่ คําว่าธุลีนี้ เป็นชื่อของโมหะ
ภิกษุทั้งหลาย น ครั้นละธุลีนี้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลีได้.
ในเวลาจบพระธรรมเทศนาพระพุทธนิพนธคาถา พระจูฬปันถกะก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ ปิฎกทั้ง ๓ ได้ผุดเกิดแก่พระจูฬปันถกะพร้อมกับปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ นั่นเทียว
ได้ยินว่า ในชาติก่อน พระจูฬปันถกะนั้นเป็นพระราชา ขณะเมื่อเสด็จเลียบพระนคร พระเสโท คือเหงื่อไหลออกจากพระนลาฏ คือหน้าผาก พระองค์ได้ทรงเช็ดพระนลาฏด้วยผ้าอันสะอาด ผ้านั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นผ้าเศร้าหมอง พระองค์จึงทรงได้อนิจจสัญญาขึ้นว่า ผ้าสะอาดเห็นปานดังนี้ เพราะอาศัยได้สัมผัสกับสรีระนี้ จึงละปกติเดิมแปรสภาพเป็นของเศร้าหมองไป สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงแท้แน่นอนจริงหนอ ด้วยเหตุนั้น ผ้าเช็ดธุลีนั่นแลจึงสําเร็จเป็นปัจจัยแก่พระจูฬปันถกะนั้น ด้วยประการฉะนี้
ชีวโกปี โข โกมารภัจฺโจ – ฝ่ายหมอชีวกโกมารภัจจ์ได้น้อมนําน้ำปทักขิโณทก คือน้ำสำหรับกรวด เข้าไปถวายแด่สมเด็จพระทศพลพุทธเจ้า ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาทรงเอาพระหัตถ์ปิดบาตรพร้อมกับตรัสถามว่า “ คุณหมอชีวก ภิกษุในวัดยังมีอยู่มิใช่หรือ ? “ พระมหาปันถกะชิงกราบทูลว่า “ ภิกษุในวัดไม่มีมิใช่หรือ พระพุทธเจ้าข้า “ สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสยืนยันว่า “ มีซี คุณหมอชีวก “ หมอชีวกจึงส่งคนไปดูว่า “ แน่พนาย ถ้าเช่นนั้นเธอจงไปดูที จงรู้ว่าภิกษุทั้งหลายในวัดมีหรือไม่มีกันแน่ “ ขณะนั้น พระจูฬปันถกะคิดว่า พระพี่ชายของเราพูดว่า ภิกษุทั้งหลายในวัดไม่มี เราจักแสดงให้ปรากฏแก่พระพี่ชายว่า ภิกษุทั้งหลายในวัดมีอยู่ จึงนฤมิตอัมพวนารามทั้งสิ้นให้เต็มไปด้วยภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางจําพวกกําลังทําจีวร บางจําพวกกําลังย้อมจีวร บางจําพวกกําลังทําการสาธยาย นฤมิตภิกษุขึ้นพันรูปทําไม่ให้เหมือนกันและกันอย่างนี้ ฝ่ายคนใช้ไปเห็นภิกษุในวัดเป็นอันมาก แล้วกลับมาเรียนแด่หมอชีวกว่า “ ท่านครับ วัดอัมพวนารามทั้งสิ้น เต็มไปด้วยภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า “ พระจูฬปันถกะเถระนั้นแลได้นฤมิตตนถึงพันครั้งให้เป็นภิกษุพันรูป นั่งอยู่ในวัดอัมพวนารามอันน่ารื่นรมย์นั้น นั่นแล จนกว่าเขาจะบอกเวลาภัตตาหารดังนี้ “ ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสบอกกับคนใช้นั่นว่า “ เธอจงไปวัดใหม่แล้วพูดว่า พระศาสดาเรียกหาภิกษุชื่อจูฬปันถกะ “ เมื่อคนใช้นั้นไปวัดแล้วพูดตามที่ทรงตรัสสั่ง ปากทั้งพันปากได้ขานขึ้นพร้อมกันว่า “ ฉันชื่อจูฬปันถกะ ฉันชื่อจูฬปันถกะ ” คนใช้จึงกลับมากราบทูลอีกว่า “ ได้ยินว่า ภิกษุทั้งหลายชื่อจูฬปันถกะเหมือนกันหมดทุกรูป พระพุทธเจ้าข้า ” สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสแนะว่า “ ถ้าเช่นนั้น เธอจงไปใหม่ ภิกษุรูปใดพูดก่อนว่า “ ฉันชื่อจูฬปันถกะ ” จงจับมือภิกษุนั้นทันที ภิกษุที่เหลือจักอันตรธานหายไป “ คนใช้นั้นได้ไปทําตามพระพุทธบัญชาอีก ภิกษุทั้งหลายประมาณพันรูปก็ได้อันตรธานหายไปในทันทีนั้น นั่นเทียว พระจูฬปันถกะเถระจึงได้มาพร้อมกับคนใช้นั้น ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดา ในเวลาเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว ได้ทรงเชิญหมอชีวกมารับสั่งว่า “ คุณหมอชีวก ท่านจงรับเอาบาตรของจูฬปันถกะ เธอจักทําอนุโมทนากถาแก่ท่าน “ หมอชีวกได้ทําตามพระพุทธดํารัสตรัสสั่งนั้น ส่วนพระจูฬปันถกะเถระบันลือสีหนาทเป็นเสมือนสิงห์หนุ่ม ได้ทําอนุโมทนากถา พรรณนาพระปิฎกทั้ง ๓ ให้กระฉ่อนไป ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลุกจากพุทธอาสน์อันภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมเป็นพุทธบริวาร เสด็จคมนาการกลับสู่พระวิหาร ครั้นภิกษุทั้งหลายทําวัตรแล้ว เสด็จลุกจากพุทธอาสน์ประทับยืนที่หน้ามุขแห่งพระคันธกุฎี ทรงประธานพระสุคโตวาทแก่ภิกษุสงฆ์ ทรงบอกพระกรรมฐานแล้วทรงส่งภิกษุสงฆ์ไป ครั้นแล้วก็เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ซึ่งอบด้วยกลิ่นอันหอมตลบ เสด็จเข้าสู่พระสีหไสยาสน์โดยพระปรัศว์เบื้องขวา ( คือนอนอย่างราชสีห์ตะแคงข้างขวา ) ด้วยประการฉะนี้
อถ สายณฺหสมเย ภิกฺขุ – อยู่มาในเวลาเย็นภิกษุทั้งหลายนั่งล้อมวงกันข้างโน้นข้างนี้ เป็นดุจล้อมด้วยม่านผ้ากัมพลแดง พากันปรารภถึงพระคุณของสมเด็จพระบรมศาสดาว่า “ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระมหาปันถกะไม่ทราบอัชฌาศัยของพระจูฬปันถกะ จึงไม่สามารถจะให้พระจูฬปันถกะเรียนเอาพระคาถาเพียงพระคาถาเดียวได้โดยเวลาถึง ๔ เดือน มิหนํายังสําคัญว่าพระจูฬปันถกะนั้นโง่ทึบ จนถึงกับขับไล่ให้ออกไปเสียจากวัด ส่วนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุที่พระองค์ทรงเป็นพระธรรมราชาชั้นสุดยอด ได้ทรงประทานพระอรหัตให้ภายในชั่วระยะเวลาเสวยภัตตาหารครั้งหนึ่งเท่านั้น พระปิฎกทั้ง ๓ ก็ได้ผุดขึ้นมาแก่พระจูฬปันถกะพร้อมกับปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ นั่นเทียว ชื่อว่า กําลังของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นของยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์จริง ๆ “ ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบการเกิดขึ้นแห่งกถาเรื่องนี้ในโรงธรรมสภา แล้วทรงพระพุทธดําริว่า วันนี้เราควรจะไป ณ ที่นั้น ดังนี้แล้ว เสด็จออกจากพุทธไสยาสน์ ทรงนุ่งผ้าสบง ๒ ชั้น อันย้อมดีแล้ว ทรงคาดประคดเอวอันมีลักษณะดังสายฟ้า ทรงห่มพระสุคตมหาบังสุกุลจีวร อันมีสีดุจผ้ากัมพลแดง แล้วเสด็จออกจากพระคันธกุฎีอันมีกลิ่นหอมตลบไปสู่โรงธรรมสภา ด้วยพระพุทธวิลาสอันสง่างามดุจการเยื้องกรายของพระยาช้างซับมันและพระยาราชสีห์ด้วยพระพุทธลีลาอันหาที่สุดมิได้ แล้วเสด็จขึ้นพระบวรพุทธาอาสน์อันปูลาดดีแล้ว ณ ท่ามกลางโรงกลมอันประดับตบแต่งแล้ว ทรงเปล่งพระพุทธรัศมีอันมีสี 5 ประการ เสด็จประทับนั่งตรงใจกลางอาสนะ เป็นเสมือนทรงยังท้องมหาสมุทรให้กระเพื่อมอยู่ และเป็นเสมือนพระอาทิตย์อ่อน ๆ ตั้งอยู่เหนือยอดเขายุคนธร ฉะนั้น ก็พอสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึง ภิกษุสงฆ์ก็ได้หยุดสนทนานิ่งเงียบอยู่ ด้วยประการฉะนี้
สตฺถา มุทุเกน จิตฺเตน - สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมองดูพุทธบริษัทด้วยดวงพระหฤทัยอันเยือกเย็น แล้วทรงพระพุทธดําริว่า บริษัทนี้งามยิ่งนัก การคะนองมือก็ดี การคะนองเท้าก็ดี เสียงไอก็ดี เสียงจามก็ดี แม้ของภิกษุรูปหนึ่ง มิได้มี ภิกษุเหล่านี้หมดทุกรูปมีความคารวะในพระพุทธเจ้า อันเดชของพระพุทธเจ้าข่มไว้ เมื่อเรานั่งอยู่ไม่พูดแม้ตลอดอายุกัป ใคร ๆ ก็จักไม่กล้าจะยกเรื่องขึ้นก่อน ธรรมเนียมยกเรื่องขึ้นเป็นหน้าที่อันเราเท่านั้นจะพึงทราบ เราเท่านั้นจักต้องพูดก่อน ครั้นแล้วจึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะเหมือนเสียงพรหม ตรัสถามว่า “ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ ก็เรื่องอะไรที่พวกเธอสนทนาค้างไว้ในระหว่าง “ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสชี้แจงว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่ภิกษุจูฬปันถกะเป็นคนโง่ทึบนั้น มิใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อนเธอก็เป็นคนโง่ทึบเหมือนกัน อนึ่ง เราได้เป็นที่พึ่งของเธอมิใช่แต่ในชาตินี้อย่างเดียวเท่านั้น แม้ในชาติก่อนเราก็ได้เป็นที่พึ่งของเธอเช่นกัน อนึ่ง ในชาติก่อนก่อนเราได้ทําจูฬปันถกะนี้ให้เป็นเจ้าของแห่งโลกียทรัพย์ ในชาตินี้ได้ทําให้เธอเป็นเจ้าของแห่งโลกุตรทรัพย์ ดังนี้ “ เมื่อภิกษุทั้งหลายใคร่จะฟังเรื่องโดยพิสดารได้ทูลอาราธนา จึงได้ทรงนําเรื่อง อดีตนิทานมาแสดงโปรดภิกษุทั้งหลาย ซึ่งมีข้อความดังจะได้วิสัชนาเป็นลําดับไป แต่บัดนี้สมควรแก่กาลเวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา : กุมภโฆสกเศรษฐีเกริ่นนำ พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา นี้ รจนาเป็นภาษาไทยโดย สมเด็จพุฒาจารย์ ( อาจ อาสโภ ) ต่อมาหลวงปู่ได้มอบหมายให้เป็นผู้ทำการอีดิตแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติมในเนื้อหาหนังสือเล่มนี้ แต่ในกาลต่อมาหลังจากหลวงปู่แก้ไขปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ได้จัดลงพิมพ์เป็นตำราหนังสือ หลวงปู่จึงขออนุญาตนำต้นฉบับที่หลวงปู่ทำการแก้ไขแล้วกลับมาเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังที่สนใจพระธรรมเทศนาบทนี้ได้เอาไปศึกษาต่อไป ผมจึงกราบขออนุญาตหลวงปู่นำต้นฉบับพระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา ฉบับนี้มาค่อยๆ ทยอยโพสต์ลงในเฟสบุ๊ควัดป่าสุธัมมารามในคราวต่อไป ( ต้นฉบับหนังสือพระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา ทั้งหมดได้อัพโหลดขึ้นไว้อยู่ในเว็บไซท์วัดป่าสุธัมมาราม สามารถเข้าไปดาวน์โหลดมาอ่านได้ที่ลิงค์ ) http://www.watpahsudhammaram.org/dmdocuments/patatkata.pdf
พระธรรมบทเทศนา พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา (๒) เรื่องกุมภโฆสกเศรษฐี [๑๖] -------------------------- นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสฺมพุทธสฺส อุฏฐานวโต สตีมโต สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน สญฺญฺตสฺส จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒตีติ.
บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนาเรื่อง กุมภโฆสกเศรษฐี อันมีมาในคัมภีร์อรรถกถาธรรม บทขุททกนิกาย อัปปมาทวรรคที่ ๑๒ แห่งสุตตันตปิฎก นับเป็นลําดับเรื่องที่ ๑๖ เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธี ส่วนธรรมสวนมัยสืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า –
สตฺถา เวฬุวเน วิหรนฺโต - สมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จประทับพระอริยาบถอยู่ ณ วัดพระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร โดยทรงปรารภกุมภโฆสกเศรษฐีให้เป็นอุปบัติเหตุ ซึ่งมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้
ราชคหนครสฺมึ หิ ราชคหเสฏฺฐิโน - ก็ในกาลครั้งหนึ่ง อหิวาตกโรคได้เกิดระบาดขึ้นในบ้านของเศรษฐีชาวพระนครราชคฤห์ในกรุงราชคฤห์นั้น เมื่ออหิวาตกโรคเกิดระบาดขึ้นนั้น สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายตั้งต้นแต่แมลงวันจนกระทั่งถึงโคเกิดล้มตายลงก่อน ต่อแต่นั้นก็ลุกลามไปถึงพวกทาสและกรรมกรทั้งหลาย ฝ่ายพวกเจ้าของบ้านตายภายหลังเขาหมด เพราะฉะนั้น อหิวาตกโรคนั้น จึงได้ลุกลามไปติดท่านเศรษฐีกับภริยาภายหลังคนทั้งปวง ขณะที่ป่วยอยู่นั้น เศรษฐีกับภริยามองดูบุตรชาย ซึ่งยืนปฏิบัติอยู่ ณ ที่ใกล้ ๆ ด้วยหน่วยตาอันคลอด้วยน้ำตา สั่งบุตรชายว่า “ ลูกเอ๋ยได้ยินว่าเมื่อโรคนี้เกิดระบาดขึ้นแล้ว คนทั้งหลายที่ทําลายฝาเรือนหลบหนีไปย่อมรอดชีวิต เจ้าจงอย่าห่วงพ่อแม่ทั้งสองเลย จงหนีเอาตัวรอดเสีย เมื่อมีชีวิตจึงค่อยกลับมาใหม่ พ่อแม่ทั้งสองได้ฝังทรัพย์ไว้ในที่ตรงโน้นจํานวน ๔๐ โกฏิ เจ้าจงขุดเอาทรัพย์นั้นขึ้นมาเลี้ยงชีวิตเถิด “ ฝ่ายเศรษฐีบุตรครั้นได้ฟังคําแนะนําของมารดาบิดาดังนั้นแล้ว ก็ร้องไห้พลางกราบมารดาบิดา พลางกลัวเกรงแต่มรณภัยจะมาถึงตน จึงทําลายฝาเรือนหลบหนีไป แล้วไปอาศัยป่าใกล้ภูเขาอยู่ เป็นเวลาถึง ๑๒ ปี จึงได้กลับคืนมายังบ้านของมารดาบิดา ด้วยประการฉะนี้
อถ นํ ทหรกาเล คนฺตฺวา - ครั้งนั้นปรากฏว่าไม่มีใคร ๆ จําเขาได้เลย เพราะเขาไปแต่เวลายังเล็ก เมื่อกลับมาจนมีผมและหนวดเคราขึ้นรุงรังหมดแล้ว เศรษฐีบุตรได้ไปดูที่ฝังทรัพย์ตามเครื่องหมายที่มารดาบิดาได้บอกให้ไว้ ครั้นทราบว่าทรัพย์นั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด จึงคิดพิจารณาดูว่า ไม่มีใครๆ จําเราได้สักคนหนึ่ง ถ้าเราจักขุดเอาทรัพย์ขึ้นมาใช้สอย คนทั้งหลายรู้ว่าเจ้าทุคคตบุรุษนี้ขุดค้นได้ทรัพย์ แล้วก็จะจับไปเบียดเบียน ถ้ากระไรเราทํางานรับจ้างเลี้ยงชีวิตดีกว่า เพราะฉะนั้น เขาจึงนุ่งผ้าเก่า ๆ ผืนหนึ่งเที่ยวถามไปว่าใครต้องการลูกจ้างบ้าง แล้วก็ไปถึงถนนหมู่บ้านนายจ้างพอดี ครั้งนั้น พวกนายจ้างเห็นเขาแล้วจึงถามว่า “ ถ้าเจ้าจักรับทํางานให้เราสักอย่างหนึ่ง เราก็จักให้ข้าวเป็นค่าบําเหน็จแก่เจ้า “ เศรษฐีบุตรถามว่า “ จะให้ผมทํางานอะไรครับ “ นายจ้างบอกว่า “ งานปลุกคนให้ตื่นและเตือนให้ทํางาน ถ้าเจ้าจักสามารถทําได้แล้ว จงลุกขึ้นแต่เช้ามืดแล้วเที่ยวไปบอกคนทั้งหลายว่า พ่อมหาจําเริญทั้งหลายจงหากินลุกขึ้นเถิด จงผูกเกวียน จงเทียมโค เวลานี้เป็นเวลาที่ช้างและม้าเป็นต้นจะไปกินหญ้าแล้ว แม่มหาจําเริญทั้งหลาย จงพากันลุกขึ้นเถิด จงพากันต้มข้าวยาคูและหุงข้าวเถิด “ เศรษฐีบุตรตกลงรับทํางานนั้น แต่นั้นนายจ้างจึงได้ให้เรือนเป็นที่อยู่ ณ ที่ใกล้ ๆ แก่เศรษฐีบุตรนั้นหลังหนึ่ง เศรษฐีบุตรก็ได้ลงมือปฏิบัติงานนั้น ทุก ๆ วันสืบมา ด้วยประการฉะนี้
อถสฺส เอกทิวสํ ราชา - อยู่ต่อมาภายหลังวันหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธ ได้ทรงสดับเสียงร้องปลุกมหาชนของเศรษฐีบุตรนั้น ก็พระเจ้าพิมพิสารนั้นทรงมีความรู้ลักษณะเสียงร้องของคนทั้งปวง เพราะฉะนั้นจึงได้มีพระราชดํารัสว่า “ เสียงนั้นเป็นเสียงของคนมีทรัพย์ “ ขณะนั้นมีพระสนมของพระเจ้าพิมพิสารองค์หนึ่งประทับอยู่ ณ ที่ใกล้ ๆ นั้น ได้ทรงทราบพระราชดํารัส ดังนั้นจึงทรงดําริว่า “ นายหลวงคงจักไม่ทรงรับสั่งพล่อย ๆ ไป เราควรจะรู้เจ้าบุรุษเจ้าของเสียงนี้ให้จงได้ “ แล้วจึงทรงส่งมหาดเล็กคนหนึ่งไปสืบดูว่า “ พ่อมหาจําเริญเจ้าจงไปดูที่ จงรู้ว่ามันเป็นใคร “ มหาดเล็กรีบไปโดยเร็ว เห็นเศรษฐีบุตรนั้นแล้วกลับมากราบทูลว่า “ บุรุษนั้น คือคนกําพร้าที่ทําการรับจ้างของพวกนายจ้างคนหนึ่ง พระเจ้าข้า “ ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับตามที่มหาดเล็กกราบทูลรายงานแล้ว ก็ทรงนิ่งเสีย แต่แม้วันที่ ๒ และวันที่ ๓ ครั้นได้ทรงสดับเสียงของเศรษฐีบุตรนั้นแล้ว ก็ยังทรงมีพระราชดํารัสยืนยันอยู่เหมือนอย่างนั้น ฝ่ายพระสนมนั้น ก็ทรงดําริเหมือนอย่างนั้นแล้วทรงส่งมหาดเล็กไปดูแล้วดูอีก เมื่อมหาดเล็กกราบทูลยืนยันว่าเป็นคนกําพร้า จึงทรงตระหนักพระทัยว่า แม้นายหลวงจะได้ทรงได้ยินรายงานของมหาดเล็กว่า บุรุษเจ้าของเสียงนั้นเป็นคนกําพร้า พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่อ ยังทรงมีพระราชดํารัสยืนยันอยู่บ่อย ๆ ว่า เสียงนั้นเป็นเสียงของคนมีทรัพย์มาก ในเรื่องนี้จะต้องมีเหตุอันสมควรแน่นอน ควรที่เราจะสอบสวนดูเรื่องนี้ให้ทราบตามความเป็นจริงให้จงได้ ครั้นแล้วจึงทรงกราบทูลพระราชาว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ หม่อมฉันได้ทรัพย์สักพันหนึ่งแล้ว จักพาพระธิดาไปทําให้ทรัพย์นั้นไหลเข้ามาสู่ราชตระกูลให้จงได้เพค่ะ “ พระราชาจึงได้ทรงรับสั่งให้พระราชทานทรัพย์แก่พระสนมนั้นไปพันหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้
สา ตํ คเหตฺวา - ฝ่ายพระสนมนั้นรับพระราชทานทรัพย์พันหนึ่งนั้นแล้ว ให้พระธิดาทรงนุ่งผ้าอย่างหมองหม่นผืนหนึ่ง แล้วพร้อมกับพระธิดานั้นออกจากพระราชมณเฑียรไปทําเป็นเหมือนคนเดินทาง ตรงไปยังถนนที่หมู่บ้านนายจ้าง เสด็จเข้าไปยังเรือนหลังหนึ่งแล้วทรงถามว่า “ คุณแม่เจ้าข้า พวกดิฉันเป็นคนเดินทางใคร่จะขอพักอาศัยอยู่ ณ ที่นี้สักวันสองวันแล้วก็จักไป เจ้าของบ้านตอบว่า “ แม่มหาจําเริญ คนในเรือนนี้มีมาก แม่ไม่อาจจะพักอยู่ในเรือนนี้ได้ นั่นบ้านของนายกุมภโฆสกว่างเปล่า เชิญพากันไปพัก ณ ที่นั้นเถิด “ พระสนมไปที่บ้านของนายกุมภโฆสกแล้วพูดว่า “ นายขา พวกดิฉันเป็นคนเดินทาง ใคร่ที่ขอกรุณาพักอาศัยอยู่ในบ้านของท่านนี้สักวันสองวันค่ะ “ แม้จะได้ถูกเศรษฐีบุตรนั้นปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่า ก็พยายามวิงวอนว่า “ นายขา พวกดิฉันจักขออาศัยอยู่สักวันเดียวเฉพาะวันนี้เท่านั้น แล้วจักไปแต่เช้ามืดทีเดียว “ แล้วก็ไม่ยอมออกไปจากบ้าน ครั้นพระสนมได้พักอาศัยอยู่ในบ้านของเศรษฐีบุตรนั้นแล้ว พอวันรุ่งขึ้นเวลาที่เศรษฐีบุตรจะไปทํางานในป่า พระนางได้ทรงออดอ้อนว่า “ นายขา กรุณาให้ค่าอาหารของนายไว้แล้วจึงไป ดิฉันจะจัดปรุงอาหารไว้ให้นายเจ้าข้า “ เมื่อเศรษฐีบุตรนั้นปฏิเสธว่า “ อย่าเลยแม่คุณ ฉันจะหุงหารับประทานเองโดยลําพัง “ พระนางก็ตามรบเร้าบ่อย ๆ พอรับเอาค่าอาหารที่เศรษฐีบุตรนั้นให้แล้ว ก็ไปจ่ายเอาโภชนะและข้าวสารชนิดที่ ๑ เป็นต้นมาจากร้านตลาด แล้วก็หุงข้าวสุกอย่างละมุนละไม ทํากับข้าวอย่างอร่อย ๒-๓ อย่างตามแบบที่ปรุงในพระราชวัง เมื่อเศรษฐีบุตรกลับมาจากป่าแล้วก็จัดให้รับประทานทันใดนั้น พระสนมครั้นทรงทราบว่าเศรษฐีบุตรนั้นได้รับประทานอาหารที่มีโอชารสแล้ว ก็ถึงความเป็นผู้มีจิตใจอ่อน จึงฉวยโอกาสพูดวิงวอนว่า “ นายขาพวกดิฉันยังบอบช้ำจากกรเดินทางอยู่ ขอความกรุณาอยู่ในบ้านของนายนี้อีกสักวันสองวันเถิด “ เศรษฐีบุตรก็รับคําให้พักอาศัยอยู่สมความปราถนา ด้วยประการฉะนี้
อถสฺส สายมฺปิ ปุนทิวรสํ - แม้ในวันรุ่งขึ้นเวลาเย็นพระสนมก็ได้ปรุงแต่งอาหารอย่างอร่อยไว้ให้เศรษฐีบุตรนั้นอีก และครั้นรู้ว่าเศรษฐีบุตรมีจิตอ่อนจึงฉวยโอกาสวิงวอนอีกว่า “ นายขา พวกดิฉันขอความกรุณาพักอาศัยอยู่ ณ ที่นี้อีกสัก ๒ - ๓ วัน เจ้าข้า “ เมื่อพระสนมพักอยู่ที่บ้านนั้น ได้เอามีดอย่างคมเลาะขอบเตียงของเศรษฐีบุตรภายใต้ไม้แคร่ ณ ที่นั้น ๆ ไว้ เมื่อเศรษฐีบุตรกลับมา พอขึ้นนั่งเตียงก็ได้ห้อยหย่อนลงไปข้างล่าง เศรษฐีบุตรจึงถามว่า “ เพราะเหตุไรเตียงนี้มันจึงได้ขาดหย่อนลงไปอย่างนี้ ? “ พระสนมตอบว่า “ นายขา ดิฉันไม่อาจที่จะห้ามพวกเด็กเล็ก ๆ มันพากันมารวมกลุ่มเล่นอยู่ ณ ที่ตรงนี้ “ เศรษฐีบุตรจึงบ่นว่า “ แม่มหาจําเริญ ความลําบากนี้ได้เกิดขึ้นแก่ฉันเพราะอาศัยพวกเจ้าแท้ ๆ เพราะเมื่อก่อนฉันจะไปไหน ๆ ปิดประตูแล้วก็ไป “ พระสนมตอบว่า “ จะทําอย่างไรได้เล่าพ่อคุณ ดิฉันไม่อาจจะห้ามพวกเด็ก ๆ ได้ “ แล้วก็เอามีดเลาะขอบเตียง ๒ - ๓ วัน โดยทํานองนั้น แม้จะถูกเศรษฐีบุตรบ่นตําหนิติเตียนว่ากล่าวอยู่ ก็โต้ตอบออกตัวเหมือนอย่างเดิม แล้วเลาะเชือกผูกเตียงอีก เหลือไว้เพียงเส้นสองเส้นเท่านั้น วันนั้นพอเศรษฐีบุตรนั่งเท่านั้น ขอบเตียงทั้งหมดก็หลุดตกลงไปถึงพื้น ทําให้ศีรษะของเศรษฐีบุตรได้จรดกันกับเข่าทั้งสอง เศรษฐีบุตรลุกขึ้นได้ก็บ่นว่า “ จะทําอย่างไรกัน บัดนี้ฉันจะไปนอนที่ไหน เจ้าทั้งสองแม่ลูกทําให้ฉันไม่มีเตียงนอน “ พระสนมทรงปลอบใจว่า “ จะทําอย่างไรได้พ่อมหาจําเริญ ดิฉันไม่กล้าที่จะห้ามพวกเด็ก ๆ ซึ่งคุ้นเคยกัน ช่างเถิด แล้วไปแล้วก็แล้วไป นายอย่าคิดมากไปเลย เวลานี้จักไปที่ไหนกัน “ ครั้นแล้วจึงทรงเรียกพระธิดามารับสั่งว่า “ แม่หนู เจ้าจงให้โอกาสแก่พี่ชายเจ้านอนด้วย ฝ่ายพระธิดานอนติดไปข้างทางหนึ่งแล้วรับสั่งว่า “ เชิญมานอนตรงนี้เถิดนาย “ ส่วนพระสนมก็รับสั่งเสริมว่า “ ไปซี พ่อมหาจําเริญ ไปนอนกับน้องสาวโน้น “ เศรษฐีบุตรนั้นได้ขึ้นนอนบนเตียงเดียวกันกับพระธิดานั้น และได้ทําความสันถวะสมัครรักใคร่กันในวันนั้น นั่นเทียว ฝ่ายพระธิดาได้เกิดทรงกรรแสงขึ้น ขณะนั้น พระมารดาจึงรับสั่งถามว่า “ แม่หนูเจ้าร้องไห้ทําไมกัน “ พระธิดาทูลว่า “ คุณแม่ค่ะ เหตุนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว “ พระมารดารับสั่งว่า “ ช่างเถิดแม่ ใครจะมากล้าทําอะไรได้ การที่เจ้าได้ชายคนหนึ่งเป็นสามีก็ดี การที่พ่อกุมภโฆสกนี้ได้หญิงคนหนึ่งเป็นภริยาก็ดี ย่อมเป็นการสมควรแล้ว “ พระนางได้ทรงเสกสรรปั้นแต่งนายกุมภโฆสกนั้นให้เป็นพระราชบุตรเขยด้วยอาการดังนี้ นายกุมภโฆสกและพระธิดาก็ได้อยู่เป็นคู่ครองกันด้วยความสมัครใจ ด้วยประการฉะนี้
สา กติปาหจฺจเยน รญฺโญ - โดยกาลล่วงมาได้สัก ๒-๓ วัน พระสนมนั้นได้ทรงส่งสาส์นไปกราบทูลแด่พระเจ้าพิมพิสารว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดให้ทําการประกาศว่า ประชาชนที่อยู่ถนนคนจ้าง จงพากันมีงานมหรสพ ก็บ้านของใครไม่ได้มีงานมหรสพ คนนั้นจะได้ถูกลงอาชญ์เท่านี้ “ พระราชาได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้ประกาศไปเหมือนอย่างนั้น ครั้งนั้น พระสนมทรงดํารัสกับนายกุมภโฆสกว่า “ พ่อมหาจําเริญ ประชาชนจําที่จะต้องทํางานมหรสพที่ถนนคนจ้างตามพระราชบัญชา เราจะทําอย่างไร “ นายกุมภโฆสกพูดว่า “ คุณแม่ครับ แม้แต่ผมทํางานรับจ้างอยู่ก็เกือบจะเอาชีวิตไปไม่รอด จักให้ผมทําอย่างไร “ พระสนมทรงแนะนําว่า “ พ่อมหาจําเริญ ธรรมดาคนอยู่ครองบ้านเรือนก็ย่อมจะกู้หนี้ยืมสินบ้าง ที่จะไม่ทําตามพระราชบัญชานั้นเป็นอันไม่ได้ เราอาจจะปลดเปลื้องหนี้สินได้ด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง พ่อมหาจําเริญ เจ้าจงไปไปขอยืมทรัพย์มาสัก ๑ กหาปณะหรือ ๒ กหาปณะแต่ที่ไหน ๆ สักแห่งหนึ่งเถิด “ นายกุมภโฆสกบ่นอู้อี้อุบอิบพลางก็เดินไป แล้วไปเอาทรัพย์จากที่ฝังไว้ ๔๐ โกฏินั้นมาเพียงกหาปณะเดียวเท่านั้น ฝ่ายพระสนมทรงส่งกหาปณะนั้นไปถวายพระเจ้าพิมพิสารเสีย แล้วเอากหาปณะส่วนของพระองค์ทํางานมหรสพ ครั้นโดยกาลล่วงมาสัก ๒ - ๓ วัน พระนางก็ได้ทรงส่งสาส์นไปกราบทูลพระราชาเหมือนครั้งก่อนอีก พระราชาก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดบัญชาไปอีกว่า ประชาชนจงพากันมีงานมหรสพ เมื่อใครไม่ได้ทํามหรสพจะได้รับพระราชอาชญ์ประมาณเท่านี้ ฝ่ายกุมภโฆสกเมื่อถูกพระสนมทรงรับสั่งรบเร้าเบียดเบียนเหมือนครั้งก่อนอีก ก็ได้ไปเอาทรัพย์มาให้ ๓ กหาปณะ ส่วนพระสนมได้ทรงส่งกหาปณะทั้งหมดแม้นั้นไปถวายพระราชา ครั้นกาลล่วงมาได้สัก ๒ - ๓ วัน พระนางได้ทรงส่งสาส์นไปกราบทูลพระราชาอีกว่า “ คราวนี้ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดส่งราชบุรุษทั้งหลายมาเชิญเอานายกุมภโฆสกนี้เข้าไปเฝ้าเถิดเพค่ะ “ ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารก็ได้ทรงส่งราชบุรุษทั้งหลายไปเชิญตัวนายกุมภโฆสก พวกราชบุรุษไปถึงถนนคนจ้างนั้นแล้ว เที่ยวถามหาไปว่า “ คนไหนที่ชื่อกุมภโฆสก “ ครั้นพบนายกุมภโฆสกแล้วจึงบอกว่า “ ท่านผู้เจริญ ขอเชิญท่านไป นายหลวงทรงรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า ฝ่ายนายกุมภโฆสกพอได้ทราบดังนั้นก็ตกใจกลัว จึงพูดอิดเอื้อนเป็นต้นว่า “ นายหลวงไม่ทรงรู้จักข้าพเจ้าแล้วก็ไม่ปราถนาอยากจะไปเฝ้า “ ขณะนั้นพวกราชบุรุษจึงพากันเข้าฉุดนายกุมภโฆสกที่มือเป็นต้นด้วยพลการ ฝ่ายพระสนมทรงเห็นดังนั้น จึงทรงทําเป็นที่ตำหนิพวกราชบุรุษเหล่านั้นว่า “ เฮ้ย ! เจ้าพวกหน้าด้านพวกเจ้าไม่สมควรที่จะเข้ายึดมือเป็นต้นของบุตรเขยของข้า “ แล้วทรงรับสั่งปลอบใจนายกุมภโฆสกว่า “ มาเถิด พ่อมหาจําเริญ เจ้าอย่าเกรงกลัวเลย ฉันเข้าเฝ้านายหลวงแล้วจักกราบทูลให้ทรงตัดมือของพวกที่เข้ายึดมือของเจ้าเป็นต้นให้จงได้ “ ครั้นทรงปลอบดังนั้นแล้ว ก็ทรงพาพระธิดาล่วงหน้าไปก่อน ครั้นถึงพระราชมณเฑียรแล้ว ก็ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงประดับแต่งองค์ด้วยเครื่องประดับอย่างครบชุด แล้วได้เฝ้าอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ฝ่ายนายกุมภโฆสกนั้น พวกราชบุรุษก็ฉุดนําตัวไปจนถึงที่เฝ้า ด้วยประการฉะนี้
อถ นํ วนฺทิตวา ฐิตํ ราชา - ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงรับสั่งถามนายกุมภโฆสก ขณะที่เขาถวายบังคมแล้วยืนเฝ้าอยู่ว่า “ เจ้าหรือที่ชื่อว่ากุมภโฆสก “ นายกุมภโฆสกกราบทูลว่า “ ใช่แล้ว พระพุทธเจ้าข้า “ พระราชาตรัสถามว่า “ เพราะเหตุไร เจ้าจึงลวงทรัพย์ไว้บริโภคเป็นอันมากเล่า ? “ นายกุมภโฆสกกราบทูลปฏิเสธว่า “ ทรัพย์ของข้าพระพุทธเจ้ามีที่ไหนพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทำการรับจ้างเลี้ยงชีพ “ พระราชาตรัสเน้นว่า “ เจ้าอย่าทําอย่างนั้นเลย จะลวงข้าไปทําอะไร “ นายกุมภโฆสกยังกราบทูลปฏิเสธอยู่ว่า “ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ลวง พระพุทธเจ้าข้า ทรัพย์ของข้าพระพุทธเจ้าไม่มีจริง ๆ “ ทันใดนั้น พระราชาจึงทรงเอากหาปณะของนายกุมภโฆสกเหล่านั้นออกมาแสดง แล้วทรงรับสั่งถามว่า “ กหาปณะเหล่านี้เป็นของใครเล่า ? “ นายกุมภโฆสกเห็นกหาปณะเหล่านั้นแล้วจําได้ จึงเกิดประหลาดใจว่า “ โอ ! เราฉิบหายแล้ว กหาปณะเหล่านี้มันมาถึงพระหัตถ์ของนายหลวงได้อย่างไรหนอ ? ” ครั้นมองไปข้างโน้นข้างนี้ก็ได้เห็นพระสนมกับพระธิดาทั้งสองนั้นประดับตกแต่งองค์ประทับยืนอยู่ ณ ที่ใกล้ประตูห้อง จึงคิดว่า “ ตายจริง หญิงสองคนแม่ลูกนี้เห็นจะเป็นเรื่อง นายหลวงทรงแต่งไปลวงเราแน่ “ ขณะนั้นพระราชาได้ทรงรับสั่งถามนายกุมภโฆสกว่า “ พ่อมหาจําเริญ พูดตามความจริงซิ เพราะเหตุไรเจ้าจึงได้ทําอย่างนั้น ? “ นายกุมภโฆสกกราบทูลว่า “ ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีที่พึ่ง พระพุทธเจ้าข้า “ พระราชาตรัสว่า “ คนอย่างฉันเป็นที่พึ่ง ไม่มีหรือ ? ” นายกุมภโฆสกกราบทูลว่า “ เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงที่สุด พระพุทธเจ้าข้า ถ้าพระองค์จะทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งของข้าพระพุทธเจ้า “ พระราชาตรัสว่า “ เราจะรับเป็นที่พึ่งพ่อมหาจําเริญ ทรัพย์ของเจ้ามีจํานวนสักเท่าไรเล่า ? “ นายกุมภโฆสกราบทูลว่า “ มี ๔๐ โกฏิ พระพุทธเจ้าข้า “ พระราชาตรัสถามว่า “ ได้อะไรไปขนมาจึงจะดี “ นายกุมภโฆสกกราบทูลว่า “ ได้เกวียนเป็นดี พระพุทธเจ้าข้า “ พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงรับสั่งให้เทียมเกวียนขึ้นหลายร้อยเล่ม แล้วทรงส่งไปให้บรรทุกเอาทรัพย์นั้นมา แล้วทรงรับสั่งให้กองไว้ที่พระลานหลวง ทรงรับสั่งให้ประชุมชาวพระนครราชคฤห์ แล้วตรัสถามว่า “ ทรัพย์จํานวนเท่านี้ในพระนครนี้ของใครมีบ้างหรือ ? “ เมื่อชาวพระนครกราบทูลว่า “ ไม่มีพระพุทธเจ้าข้า “ จึงตรัสถามว่า “ จะทําอย่างไรแก่นายกุมภโฆสกนั้นจึงจะสมควร “ เมื่อชาวพระนครกราบทูลแนะว่า “ ควรทําสักการะแก่เขาจึงจะสมควร พระพุทธเจ้าข้า “ จึงทรงแต่งตั้งนายกุมภโฆสกนั้นไว้ในตําแหน่งเศรษฐีด้วยเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ แล้วได้พระราชทานพระธิดาของพระสนมนั้นให้แก่กุมภโฆสกเศรษฐี ครั้นแล้ว ก็ได้เสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาพร้อมด้วยกุมภโฆสกเศรษฐีนั้น ทรงถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า “ ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์ ขอจงทรงทอดพระเนตรดูบุรุษคนนี้เถิด คนเจ้าปัญญาเห็นปานดังนี้ย่อมไม่มี แม้ถึงเขาจะมีสมบัติตั้ง ๔๐ โกฏิ ก็ไม่ทําอาการเย่อหยิ่งหรือเหตุสักว่าความถือตนถือตัว ทําเป็นเหมือนคนกําพร้านุ่งผ้าเก่า ๆ ทําการรับจ้างเลี้ยงชีพอยู่ที่ถนนคนจ้าง หม่อมฉันจะรู้จักเขาได้ก็โดยใช้อุบายอย่างนี้ แล้วให้เชิญตัวเขามาให้รับสารภาพถึงความเป็นคนมีทรัพย์ ให้ไปขนเอาทรัพย์มาแล้วตั้งเขาไว้ในตําแหน่งเศรษฐี แม้หม่อมฉันก็ได้ยกพระธิดาให้เขาคนหนึ่ง คนเจ้าปัญญาเห็นปานดังนี้ หม่อมฉันไม่เคยเห็นเลย พระพุทธเจ้าข้า “
ตํ สุตฺวา สตฺถา – ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดา ครั้นได้ทรงสดับพระราชดํารัสของพระเจ้าพิมพิสารที่ทรงกราบทูลดังนั้นแล้ว ได้ตรัสประทานพระพุทธโอวาทว่า “ ดูก่อนมหาบพิตร ความเป็นอยู่ของคนผู้เลี้ยงชีพอยู่เหมือนอย่างกุมภโฆสกเศรษฐีนั้น ชื่อว่าความเป็นอยู่โดยชอบธรรม ส่วนการงานเช่นโจรกรรมเป็นต้น ย่อมส่งผลบีบคั้นเบียดเบียนตนเอง ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ขึ้นชื่อว่าความสุขอันมีโจรกรรมเป็นต้นนั้น เป็นเหตุให้เกิดย่อมไม่มี เพราะว่าในคราวที่คนหมดสิ้นทรัพย์แล้ว ทําการกสิกรรมหรือทําการรับจ้างเลี้ยงชีวิตนั่นแล ชื่อว่าเป็นอยู่โดยชอบธรรม จริงอยู่ ความเป็นใหญ่ย่อมเจริญอย่างแน่นอนแก่คนผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียร ถึงพร้อมด้วยสติ มีการงานทางกายและวาจาสะอาด ใคร่ครวญด้วยปัญญาแล้วจึงทํา ผู้สํารวมระวังกายวาจาใจ เลี้ยงชีพอยู่โดยชอบธรรม ดํารงอยู่ในความไม่ประมาท “ ครั้นแล้ว ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสารและกุมภโฆสกเศรษฐีเป็นต้น ด้วยพระพุทธนิพนธคาถาเป็นปัจฉิมพจน์ ดังนี้ -
อุฏฐานวโต สตีมโต สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน สญฺญฺตสฺส จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ.
ยศคือความเป็นใหญ่ และความสมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ หรือการสรรเสริญเกียรติคุณย่อมเจริญยิ่ง ๆ แก่บุคคลผู้มีความ ขยันหมั่นเพียร ผู้มีสติ มีการงานสะอาด ใคร่ครวญแล้วจึงทํา ผู้สํารวมระวัง เลี้ยงชีวิตโดยชอบธรรม และไม่ประมาท.
กุมภโฆสกเศรษฐี ส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี ในเวลาจบพระธรรมเทศนาพุทธนิพนธคาถา ก็ได้ดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล แม้คนเหล่าอื่นเป็นอันมากก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น โดยสมควรแก่อุปนิสัยของตน ๆ พระธรรมเทศนาครั้งนั้น ได้สําเร็จเป็นประโยชน์แก่มหาชนเป็นอันมาก ด้วยประการฉะนี้แล
จบนิทาน
ลําดับนี้ จะได้วิสัชนาอรรถธิบายความในท้องนิทานและในพระธรรมเทศนาพุทธนิพนธคาถา โดยอาศัยหลักอรรถกตนัย และโดยอัตตโนมัตยาธิบาย เพื่อเฉลิมเพิ่มเติมสติปัญญา ฉลองศรัทธาบารมีเพิ่มพูนกุศลบุญภราษี ส่วนธรรมสวนมัยแก่สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายสืบต่อไป
ในนิทานเรื่องนี้ ตอนต้นส่อให้เราได้ทราบความเป็นอยู่ของคนสมัยพุทธกาลโน้นว่า การแพทย์ทางรักษาอหิวาตกโรคยังไม่เจริญเหมือนสมัยปัจจุบันนี้ เพราะว่า แม้คนถึงขนาดเศรษฐี เช่น เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์พร้อมทั้งภริยา ซึ่งเป็นมารดาบิดาของกุมภโฆสกเศรษฐี ก็ยังจนปัญญาต้องยอมตายด้วยอหิวาตกโรคที่เกิดระบาดขึ้นในครั้งนั้น ส่วนกุมภโฆสกเศรษฐีผู้บุตรนั้นที่รอดชีวิตมาได้เพราะหลบหนีไป ซ่อนตัวอยู่ในป่าถึง ๑๒ ปี โรคอหิวาตก์นี้นั้น ได้แก่โรคลงราก มีพิษรุนแรงและขยายตัวลุกลามไปได้อย่างรวดเร็วเหมือนพิษงูพิษ สมัยโบราณเมื่อการแพทย์ยังไม่เจริญ ไม่รู้วิธีที่จะป้องกันอย่างไรนั้น เมื่อโรคนี้เกิด ระบาดขึ้นที่ตําบลใด ประชาชนต้องพาลูกพาหลานอพยพหลบหนีไปซ่อนอยู่ในป่าอันห่างไกล และห้ามมิให้ คนไปมาติดต่อกัน จึงจะรอดพ้นจากโรคได้ ในชีวิตของผู้รจนาหนังสือนี้ เมื่อยังเป็นเด็กขนาด ๑๐ ขวบปี เคยได้ประสบกับอหิวาตกโรคนี้มาครั้งหนึ่ง หมู่บ้านตั้ง ๕๐๐ หลังคาเรือน ต้องพากันอพยพหลยหนีไปซ่อนอยู่ในป่าเป็นหมู่ ๆ ข้าพเจ้าเองก็ถูกมารดาบิดาพาอพยพหลบหนีไปเหมือนกัน ณ ที่ป่าซึ่งไปหลบซ่อนอยู่นั้น มีหลายครอบครัวด้วยกัน ต้องล้อมรั้วรอบขอบชิด ใครไปมาติดต่อกันไม่ได้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ ห้ามมิให้ออกนอกเขตบริเวณเลย ได้อยู่ในป่าด้วยอาการอย่างนั้นเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อโรคในหมู่บ้านสงบแล้ว จึงได้อพยพกลับคืนเข้าอยู่ในบ้านตามเดิม เรื่องนี้เมื่อพิจารณาดูแล้วก็คล้าย ๆ กับสมัยพุทธกาล ซึ่งเมื่อโรคอหิวาตกโรคระบาดขึ้นแล้ว ก็ต้องอพยพหลบหนีเหมือนกัน จึงจะรอดชีวิตอยู่ได้ เหมือนอย่างกุมภโฆสกเศรษฐีในเรื่องนี้ ต่างแต่ว่ากุมภโฆสกเศรษฐีนั้น หลบไปอยู่ในป่านานถึง ๑๒ ปี จึงกลับคืนมาพระนคร จนคนชาวพระนครไม่มีใครจําได้
ประการที่ ๒ นิทานนี้แสดงให้เราได้ทราบวิธีการที่ดี ที่คนสมัยนั้นได้ช่วยสงเคราะห์ซึ่งกันและกันอย่างน่าอนุโมทนา คือการปลุกกันให้ตื่นดึกลุกเช้า และช่วยเตือนกันให้ลงมือประกอบการงานตามหน้าที่ของใครของมัน แม้แต่ในพระนครหลวงเช่นกรุงราชคฤห์ก็มีการปฏิบัติเช่นนั้น และมีคนใจบุญประกอบด้วยมีน้ําใจกว้างขวางเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ถึงกับจ้างคนไว้ประจําให้ทําหน้าที่เที่ยวประกาศป่าวร้องปลุกคนและเตือนคนทั่วทั้งเมือง กุมภโฆสกเศรษฐีเมื่อยังปกปิดความมั่งมีของตนอยู่นั้น ได้สมัครเป็นลูกจ้างทําหน้าที่นี้เลี้ยงชีวิตตลอดมา มาในสมัยปัจจุบันนี้ ไม่มีงานตําแหน่งนี้เป็นมรดกตกทอดมาให้เราเห็นหรือได้ปฏิบัติกันโดยตรง ถ้ายังถือปฏิบัติสืบกันมาอยู่ก็จะเป็นสิ่งที่มีคุณมิใช่น้อย เพราะเป็นการสงเคราะห์ช่วยเหลือจําพวกที่นอนขี้เซาหรือที่ไม่สามารถจะบังคับตนเองได้โดยลําพัง ให้ได้ลุกขึ้นประกอบการงานทันกาลทันเวลา เพราะการตื่นดึกลุกเช้าแล้วรีบประกอบการงานนั้น เป็นทางแห่งความเจริญรุ่งเรืองของโลกียมหาชนประการหนึ่ง สงเคราะห์เข้าในองค์ธรรมว่าเป็นคนขยันหมั่นเพียรสมดังพระพุทธภาษิตว่า –
“ วิริเยน ทุกฺขมจฺ เจติ ”
คนเราจะรอดพ้นความทุกข์ยากลําบากไปได้ก็เพราะอาศัยความหมั่นเพียร ดังนี้
แต่เมื่อได้ใคร่ครวญดูก็เห็นมีวิธีช่วยสงเคราะห์ในทํานองนี้เหลือติดอยู่ในวัดวาอาราม ซึ่งภิกษุสามเณรถือปฏิบัติกันสืบมา ได้แก่การตีสัญญาณระฆังเช้ามืดตั้งแต่เวลา ๔.๐๐ นาฬิกา หรือที่เรียกว่าตี 4 บางภาค เช่น ภาคอิสานใช้ตีกลองเป็นสัญญาณเรียกว่าตีกลองดึก หรือตีกลองเด็ก สัญญาณทั้ง ๒ อย่างนี้ มีความมุ่งหมายว่า เพื่อเป็นการปลุกและเตือนภิกษุสามเณรให้ลุกขึ้นทํากิจวัตร และเพื่อปลุกเตือนชาวบ้านให้ลุกขึ้นประกอบการงาน มีลุกขึ้นไปทําไร่ไถนาหรือหุงข้าวต้มแกงเป็นต้น โบราณประเพณีอันนี้นับว่ามีคุณประโยชน์มาก ขอให้ภิกษุสามเณรจงพากันรักษาปฏิบัติไว้ให้ปรากฏอยู่สม่ำเสมอ และให้เป็นมรดกตกทอดสืบ ๆ ไปจนตลอดถึงชั่วลูกหลานเหลน ประเพณีอันดีงามจะได้ไม่เสื่อมสูญไป และจะได้สําเร็จเป็นการ สงเคราะห์ซึ่งกันและกันตามวิสัยของกัลยาณมิตร ด้วยประการฉะนี้
ประการที่ ๓ แสดงให้เราได้รู้ว่า คนที่จะดีหรือไม่ดีมั่งมีหรือยากจนนั้น ย่อมแสดงออกมาภายนอกให้คนผู้ฉลาดรู้ได้ในทางเสียงสําเนียงกล่าวขาน คือถ้าคนฉลาดเป็นปราชญ์ในทางฟังเสียง ก็ย่อมจะดูคนออกว่าเป็นเช่นไร แม้จะปลอมแปลงแต่งตัวด้วยอุบายอย่างไรก็ตาม เหมือนอย่างพระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินมคธ แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นหมอดูรู้จักเสียงคนทั้งปวงว่าเป็นอะไรด้วย กล่าวคือพระองค์ทรงได้สดับเสียงของนายกุมภโฆสก เมื่อยังเป็นลูกจ้างทําหน้าที่ป่าวประกาศเที่ยวปลุก และเตือนคนทั่วทั้งเมืองให้ลุกขึ้นประกอบการงานนั้น พระองค์ทรงรับสั่งออกมาว่า เสียงนั้นเป็นเสียงของคนมีเงินมาก และเมื่อพระสนมทรงเชื่อและได้ทรงพยายามใช้กุสโลบายตรวจสอบดูจนถึงข้อเท็จจริงแล้ว ก็ปรากฏผลเป็นความจริงเหมือนอย่างที่ทรงทํานายทายทักไว้นั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในนิทานนี้มิได้แสดงรายละเอียดเป็นหลักวิชาไว้ว่า เสียงอย่างไรเป็นเสียงของคนมั่งมี เสียงอย่างไรเป็นลักษณะเสียงของคนยากจน แต่ก็ปรากฏว่าตําราบอกลักษณะเสียงคนนั้นมีอยู่ในที่อื่น ไม่ใช่โอกาสที่จะนํามาแสดงไว้ในธรรมเทศนากัณฑ์นี้ได้
ประการที่ ๔ นายกุมภโฆสกนั้น นอกจากเป็นคนมั่งมีแล้ว ก็เป็นผู้ที่ประกอบด้วยคุณธรรมหลายประการ คือ เป็นผู้ขยันหมั่นเพียรหนักเอาเบาสู้ไม่รังเกียจการงาน มีสติและปัญญาฉลาดรอบคอบ รู้ว่าสิ่งใดควรและไม่ควร ทําอย่างไรจะเป็นคุณและเป็นโทษ สํารวมรักษาตนมาด้วยดี มีอาชีพโดยชอบธรรมและไม่ประมาทหลงไหลเมามัว ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมากถึงเพียงนั้น ประกอบด้วยได้กัลยาณมิตร คือพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งพระองค์เป็นผู้ทรงเลื่อมใสมั่นในพระพุทธศาสนาสําเร็จเป็นพระอริยโสดาบันมาแต่ครั้งสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จไปโปรด ณ พระนครราชคฤห์ครั้งแรก ดั่งที่ได้วิสัชนามาแล้วในเรื่องสญชัยปริพ พาชกนั้น เมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นนายกุมภโฆสกแล้ว นอกจากที่จะทรงเป็นที่พึ่งในทางคดีโลก คือทรงยกย่องขึ้นเป็นเศรษฐีแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงนําพากุมภโฆสกเศรษฐีไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ซึ่งเสด็จประทับอยู่ ณ วัดพระเวฬุวันมหาวิหารที่พระองค์ทรงสร้างถวาย เมื่อกุมภโฆสกเศรษฐีได้สดับพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระพุทธองค์แล้ว ก็ได้สําเร็จเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล นับได้ว่าเป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยโลกีย์ทรัพย์ และโลกุตรทรัพย์ทั้ง ๒ ประการ โดยได้อาศัยพระบารมีของพระเจ้าพิมพิสารเป็นที่พึ่ง ด้วยประการฉะนี้
ประการที่ ๕ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงนํากุมภโฆสกเศรษฐีไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ณ วัดพระเวฬุวันมหาวิหารครั้งนั้น สมเด็จพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดโดยทรงเพ่งเล็งถึงอุปนิสัยของกุมภโฆสกเศรษฐีเป็นประมาณ ซึ่งมีข้อความสั้น ๆ ดังนี้
ยศ คือความเป็นใหญ่และความสมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ หรือการสรรเสริญเกียรติคุณ ย่อมเจริญยิ่ง ๆ แก่บุคคลผู้มีความ ขยันหมั่นเพียร ผู้มีสติ มีการงานสะอาด ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทํา ผู้สํารวมระวังตนดี มีอาชีพโดยชอบธรรม และไม่ประมาท
ในพระธรรมเทศนาพุทธนิพนธสุภาษิตนี้ มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ คําว่า ยศ ในที่นี้ท่านแสดงไว้ เป็น ๓ ลักษณะ คือ ยศคือความเป็นใหญ่ ได้แก่ตําแหน่งฐานันดรศักดิ์ต่าง ๆ จนกระทั่งความเป็นพระราชา มหากษัตริย์ ซึ่งเรียกว่าอิสริยยศอย่างหนึ่ง ยศคือความเป็นผู้สมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยโภคสมบัติ เช่น กุฎมพี คหบดี เศรษฐี ซึ่งรวมเรียกว่าบริวารยศอย่างหนึ่ง ยศคือการได้รับความสรรเสริญยกย่องด้วยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการงานนั้น ๆ เช่น เป็นคนต้นคิดประดิษฐ์เรือบินหรือค้นพบความจริงของสิ่งต่าง ๆ จนชาวโลกถือเป็นหลักสืบมาเป็นต้น รวมเรียกว่าเกียรติยศอย่างหนึ่ง อิศริยยศก็ดี บริวารยศก็ดี เกียรติยศก็ดี ที่จะเจริญบังเกิดมีขึ้นแก่บุคคลนั้นด้วยอาศัยคุณธรรม ๗ ประการ คือ ความขยันหมั่นเพียร ความมีสติรอบคอบ ๑ การงานสะอาด ๑ ใคร่ครวญแล้วจึงทํา ๑ ความสํารวมระวังตนดี ๑ เลี้ยงชีพโด ชอบธรรม ไม่ประมาท ๑ ฉะนี้
อธิบายว่า ความขยันหมั่นเพียรนั้น ได้แก่ความเป็นคนขยันหมั่นลุกขึ้นประกอบการงานตามกาลเวลาที่กําหนดไว้ ไม่เกียจคร้านปล่อยให้กาลเวลาล่วงเลยไป โดยมิได้ทําการงานนั้น ๆ และเมื่อประกอบการงานนั้น ให้มีสติคอยตามกําหนดไปเสมอ อย่าให้เกิดความพลั้งเผลอทําการงานอย่างผิด ๆ ถูก ๆ ต้องคอยประคองสติให้มีประจําอยู่กับการประกอบการงานนั้น ๆ อยู่เป็นนิจ เมื่อเป็นเช่นนี้การงานนั้น ๆ จะเป็นการงานทางกายทางวาจาหรือทางใจก็ดี จะเป็นการงานที่ไม่มีโทษ คือไม่มีความผิดพลาด ซึ่งเรียกว่า การงานสะอาดบริสุทธิ์ แม้ถึงกระนั้นแล้วก็มี ก็ยังจะต้องพิจารณาใคร่ครวญดูด้วยปัญญาให้รู้แน่ชัดเสียก่อนว่า ถ้าผลงานอย่างนี้จักสําเร็จ เราจึงจักทํางานอย่างนี้ หรือเมื่อเราลงมือทําการงานอย่างนี้แล้ว จักต้องได้รับผลอย่างนี้ ครั้นแล้วจึงลงมือประกอบการงานทั้งปวง อย่าทําโดยสะเพร่าหรือโดยหุนหันพลันแล่น โดยปราศจากการใคร่ครวญพิจารณาเสียก่อน แล้วพยายามสํารวมระวังการแสดงออกทางกาย ทางวาจาหรือคิด ทางใจ อย่าให้มีช่องโหว่ อันเป็นทางที่จะให้อกุศลบาปธรรม หรือความชั่วต่าง ๆ รั่วไหลเข้าไปทําจิตใจให้หม่นหมอง และพยายามเลี้ยงชีพแต่ในทางที่ชอบธรรม เช่น ถ้าเป็นคฤหัสถ์ก็ไม่คดไม่โกงเขามาเลี้ยงชีพ แม้ชั้นที่สุดมีการโกงด้วยตราชั่งเป็นต้น พยายามทํามาค้าขายแต่โดยดีหรือทําอาชีพที่ปราศจากโทษ เช่น การทําไร่ ทํานา และเลี้ยงโคนมเป็นต้น ถ้าเป็นบรรพชิต ก็งดเว้นการแสวงหาอันไม่สมควร เช่น เป็นหมอรับจ้าง หรือยอมตนเป็นคนรับใช้คฤหัสถ์เป็นต้น แล้วเลี้ยงชีพอยู่ด้วยภิกขาจารวัตร คือด้วยการเที่ยวบิณฑบาตด้วยกําลังปลีแข้งของตนเอง อันนับว่าเป็นการชอบธรรมอย่างบรรพชิตแล้ว เป็นผู้ไม่ประมาท หาโอกาสเจริญธรรมกรรมฐาน เพื่อให้มีสติสัมปชัญญะกําหนดรู้เท่าทันต่อกลมายาของโลกอันวิจิตรตระการตา แต่เป็นตัวมารยาเครื่องเร้าหลอกให้ลุ่มหลงนั้น เมื่อได้เจริญธรรมกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งสม่ำเสมอ จนสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเหมือนเสาเขื่อน และมีสัมปชัญญะคือญาณอันคมกล้ารู้เท่าทันจังหวะมารยาของโลกแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท คือไม่อยู่ปราศจากสติ มีสติประจําทวารทั้ง ๖ อยู่เป็นนิจ แต่นั้นบาปอกุศลต่างๆ จะรั่วไหลเข้ามาโดยทางประตูทั้ง 5 ไม่ได้ จิตใจก็จะบริสุทธิ์สะอาด และเป็นสุขสบาย บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๗ ประการ คือประพฤติปฏิบัติตนโดยอาศัยธรรม ๗ ประการเป็นหลัก ดังที่ได้บรรยายมาโดยสังเขปนี้ จักได้ประสบ ซึ่ง ยศ ๓ ประการ มีอิสริยยศเป็นต้น เหมือนดังกุมภโฆสกเศรษฐีเป็นตัวอย่าง ซึ่งมีอรรถาธิบายดัง รับประทานวิสัชนามา ด้วยประการฉะนี้
ประมวลภาพงานทำบุญประจำปี วัดป่าสุธัมมาราม ประจำปี 2567เมื่อวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา บรรดาศิษยานุศิษย์ วัดป่าสุธัมมาราม อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี อันมีป้าแดง ( วรรณา ศรีดา ) เป็นแม่งานหลัก และคุณต้น ( สุเมธ ยุบลบัณฑิตกุล ) ร่วมกับบรรดาศิษยานุศิษย์จัดงานทำบุญแสดงมุทิตาจิตแด่หลวงปู่กิตติญาโณ เพื่อแสดงความกตัญญูกดเวทีต่อหลวงปู่ และระลึกถีงความเมตตาของหลวงปู่ ที่ได้อบรมสั่งสอนและเป็นที่พึ่งกราบไหว้สักการะของบรรดาศิษยานุศิษย์ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ผมจึงขอโอกาสนี้นำภาพบรรยากาศงานบุญในวันนี้มาลงเผยแพร่ในเฟสบุ๊ควัดป่าสุธัมมารามให้กับกัลยาณมิตรทุกท่านที่ไม่ได้ไปร่วมงานที่วัด ได้มีโอกาสอนุโมทนาบุญร่วมกันด้วยครับ ปีนี้ป้าแดงมีเมตตาสั่งข้าวหมูแดงหมูกรอบจากร้านอร่อยในตลาดท่าม่วงมาจัดเลี้ยงให้กับผู้ที่มาทำบุญด้วยครับ งานนี้ป้าแดงเมตตาหุงข้าวสวยนุ่มๆ เพื่อใช้ทำข้าวหมูแดงมาเป็นพิเศษเลยครับ พร้อมกับต้มน้ำซุปฟักกับท่านเท้าไก่หม้อใหญ่ๆให้ซดกันอร่อยกันทุกคน ขอกราบขอบพระคุณป้าแดงที่เมตตากับน้องๆทุกด้วยครับ นอกจากนั้นก็มีเมนูยำวุ้นเส้น ไข่ต้ม ขนม ไอติมแท่งโบราณ ( อร่อยมาก ) ส้มลังใหญ่ น้ำดื่ม ทานกันอิ่มท้อง แล้วป้าแดงยังเมตตาห่อข้าวปลาอาหารขนมผลไม้ให้เอากลับบ้านไปฝากญาติๆที่ไม่ได้ด้วยครับ งานนี้นอกจากอิ่มบุญแล้วยังอิ่มท้องกันทุกคน
อานิสงส์ร่วมสร้างบ่อน้ำ วัดป่าสุธัมมารามขอทุกท่านจงมีส่วนร่วมในกุศลที่หลวงปู่และอาจารย์แก้วและศิษย์ร่วมแรงร่วมใจกันขุดสร้างก่ออิฐถือปูนสร้างบ่อน้ำจนสำเร็จ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้นี้ก็เนื่องด้วยทรัพย์ของท่านทั้งหลายที่ร่วมกันบริจาค กุศลทั้งหลายที่เกิดขึ้นด้วยการสร้างบ่อน้ำ จงสำเร็จในท่านทั้งหลายและสำเร็จส่งถึงบรรดาหมู่ญาติของท่านทั้งหลายในทุกภพชาติ ดุจดั่งท่านปเสนทิโกศล ที่ได้สร้างสระโบกขรณีสำเร็จด้วยการชี้ช่องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกุศลที่ได้สร้างสระโบกขรณีสามารถนำพาหมู่ญาติของท่านปเสนทิโกศลให้พ้นจากเปรตวิสัยภูมิได้จนหมดสิ้น ขอท่านทั้งหลายจงตั้งจิตรำลึกถึงกุศลในครั้งนี้ และบรรดาหมู่ญาติมิตรทั้งที่มีชีวิตอยู่และที่ล่วงลับไปแล้ว พร้อมกับตั้งจิตอุทิศกุศลที่สำเร็จแล้วด้วยกันเทอญฯ บุญรักษา
|