วัดป่าสุธัมมาราม
เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:พระราธเถระ
พระธรรมบทเทศนา
พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา
(๑) เรื่องพระราธเถระ [๖๐]
--------------------------------
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสุส
นิธีนํว ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ
นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทิสํ ปณฺทิตํ ภเช
ตาทิสํ ภชมานสฺส เสยฺโย โหติ น ปาปิโยติ.
บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนา เรื่องพระราธเถระอันมีมาในคัมภีร์อรรถกถาพระธรรมบท ขุททกนิกาย ปัณฑิตวรรคแห่งสุตตันตปิฎก นับเป็นลําดับเรื่องที่ ๖๐ เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุญยนฤธีส่วนธรรมสวนมัยสืบไปณบัดนี้ ดําเนินความว่า -
สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต - สมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จประทับพระอิริยาบถ อยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลาย โดยทรงปรารภพระราธะผู้มีอายุให้เป็นอุปบัติเหตุ ซึ่งมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้
โส กิร คิหิกาเล - ดังได้ยินมา พระราธะผู้มีอายุนั้นในเวลาที่ยังเป็นคฤหัสถ์อยู่โน้น เป็นคนจําพวกพราหมณ์ผู้ตกยากคนหนึ่งอยู่ในเมืองสาวัตถี ราธพราหมณ์นั้น เมื่อมองไม่เห็นทางอื่นใดจึงตัดสินใจว่า “ เราจักไปอาศัยเลี้ยงชีพอยู่ในสํานักของภิกษุทั้งหลาย " แล้วจึงไปอาศัยอยู่ในวัดตั้งแต่นั้นมา รับอาสาดายหญ้าวัด ปัดกวาดบริเวณวัด ถวายน้ำล้างหน้าและน้ำฉันเป็นต้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายภิกษุทั้งหลายก็พากันสงเคราะห์ราธพราหมณ์นั้นด้วยเมตตากรุณา ครั้งต่อมาราธพราหมณ์มีศรัทธาปรารถนาจะบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา แต่ว่าภิกษุทั้งหลายไม่มีใครที่จะกล้าทําการบวชให้เพราะเป็นคนแก่ ราธพราหมณ์นั้น เมื่อไม่ได้บวชสมความปรารถนาดังนั้น มีความเสียใจกินไม่ได้นอนไม่หลับถึงซูบผอมลงไป
อเถกทิวสํ - อยู่มาในกาลวันหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรวจพระญาณเล็งดูหมู่สัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นราธพราหมณ์นั้น ทรงใคร่ครวญดูว่า “ เป็นอย่างไรหนอ “ ทรงทราบว่า “ ราธพราหมณ์นั้นจักสําเร็จเป็นพระอรหันต์ ” ครั้นถึงเวลาเย็น สมเด็จพระพุทธองค์ทรงทําเป็นเสมือนเสด็จพระพุทธดําเนินเล่นในวัด เสด็จไปสํานักของราธพราหมณ์ แล้วมีพระพุทธดํารัสตรัสถามว่า “ พราหมณ์ ! เธอทําการงานอะไร ” ราธพราหมณ์กราบทูลว่า “ ข้าพระองค์ทําวัตรปฏิบัติแก่ภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าข้า ” สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสถามต่อไปว่า " เธอได้รับความสงเคราะห์จากภิกษุทั้งหลายละหรือ ” ราธพราหมณ์กราบทูลว่า " ได้รับความสงเคราะห์แต่สักว่าอาหารการบริโภค แต่ว่าไม่มีภิกษุรูปใดที่จะสงเคราะห์ให้ข้าพระองค์บวช พระพุทธเจ้าข้า ” สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเรียกประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุนั้น ตรัสถามเรื่องนั้นกับราธพราหมณ์ให้ภิกษุสงฆ์ทราบแล้ว จึงมีพระพุทธดํารัสตรัสถามภิกษุสงฆ์ในที่ประชุมว่า “ ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใครที่ระลึกถึงอุปการคุณของพราหมณ์นี้ได้มีอยู่ละหรือ " พระสารีบุตรเถระกราบทูลว่า “ ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์ ข้าพระองค์ระลึกได้ ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพระองค์เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกรุงราชคฤห์ พราหมณ์นี้ได้ถวายภิกษาหารที่เขาจัดมาเพื่อตนทัพพีหนึ่ง ข้าพระองค์ระลึกได้ซึ่งอุปการคุณนั้นของพราหมณ์นี้ พระพุทธเจ้าข้า ” สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสกับพระสารีบุตรเถระว่า “ ดูก่อนสารีบุตร การที่เธอช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่พราหมณ์ผู้เคยทําอุปการคุณอย่างนั้น จะไม่สมควรละหรือ ” พระสารีบุตรเถระกราบทูลรับว่า “ สาธุ ภนฺเต ข้าพระองค์จักรับบวชให้แก่พราหมณ์นี้ พระพุทธเจ้าข้า ” แล้วก็ได้จัดการบวชให้แก่พราหมณ์นั้นสมดังความปรารถนาต่อไป เมื่อราธพราหมณ์บวชแล้วย่อมได้อาสนะในโรงฉันภัตตาหารท้ายที่สุดเขา ดังนั้นจึงลําบากด้วยข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น พระสารีบุตรเถระจึงได้พาราธภิกษุนั้นหลบหลีกไปเสียสู่ที่จาริก และได้ถือโอกาสว่ากล่าวสั่งสอนราธภิกษุ อยู่เนืองๆ ว่า " สิ่งนี้เธอควรทํา สิ่งนี้เธอไม่ควรทํา ” ราธภิกษุนั้นเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย รับปฏิบัติตามโอวาทด้วยความเคารพ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านปฏิบัติตามคําสั่งสอนอยู่เนือง ๆ ดังนั้น ต่อมาไม่นานเท่าไรก็ได้บรรลุพระอรหัตสําเร็จเป็นพระอรหันตขีณาสพในพระพุทธศาสนา
เถโร ตํ อาทาย - ฝ่ายพระสารีบุตรเถระ เมื่อพระราธะบรรลุพระอรหัตแล้วจึงพาไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ครั้นไปถึงที่เฝ้ากราบถวายบังคมแล้วก็นั่งอยู่ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง ลําดับนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทําการปฏิสันถารแล้วมีพระพุทธดํารัสตรัสถามพระสารีบุตรเถระว่า “ สารีบุตร อันเตวาสิกของเธอว่านอนสอนง่ายดีดอกหรือ ” พระสารีบุตรเถระกราบทูลว่า “ พระพุทธเจ้าข้า ราธภิกษุเป็นผู้ว่านอนสอนง่ายเหลือเกิน แม้ข้าพระองค์จะว่ากล่าวในโทษอะไรๆ ก็ไม่เคยโกรธเลย ” สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสถามต่อไปว่า “ สารีบุตร ? เมื่อเธอได้สัทธิวิหาริกเช่นนี้เธอจักรับสงเคราะห์ได้สักเท่าไร ? ” พระสารีบุตรเถระทูลตอบว่า “ จักรับสงเคราะห์ได้จํานวนมากทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า ”
อเถก ทิวสํ ธมฺมสภายํ ภิกฺขู - อยู่มาในกาลวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายวิพากษ์วิจารณ์กันในโรงธรรมสภาว่า " ได้ยินว่า พระสารีบุตรเถระ เป็นผู้กตัญญู เป็นผู้กตเวที อุปการคุณเพียงภิกษาหารทัพพีเดียวก็ระลึกได้ แล้วรับเอาธุระบวชให้พราหมณ์ผู้ตกยาก ฝ่ายพระราธเถระเล่าก็เป็นผู้อดทนต่อโอวาทและได้พระอาจารย์ผู้อดทนโอวาทแล้วนั้นเทียว สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงสดับการวิพากษ์วิจารณ์ของภิกษุเหล่านั้นแล้วได้รับพระพุทธดํารัสตรัสเสริมว่า “ ภิกขฺเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อน สารีบุตรได้เป็นผู้กตัญญู เป็นผู้กตเวทีมาแล้วนั้นเที่ยว ” เพื่อจะทรงประกาศข้อความนั้นให้ปรากฏ สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสอลีนจิตตชาดกให้พิสดาร ซึ่งความปรากฏในพระบาลีทุกนิบาต ขุททกนิกาย ดังนี้
อลีนจิตฺตํ นิสฺสาย ปหฐจา มหตี จมู
โกสลํ เสนาสนฺตุฏฐํ ชีวคาหํ อคาหยิ
เอวํ นิสฺสยสมฺปนฺโน ภิกฺขุ อารทฺธวิริโย
ภาวยํ กุสฺลํ ธมฺมํ โยคกฺเขมสฺส ปตฺติยา
ปาปุเณ อนุปุพเพน สพฺพสํโยชนกฺขยํ
เพราะได้อาศัยเจ้าอลีนจิตตกุมาร เสนาเป็นอันมากจึงพากันยินดี และได้ให้ช้าง
จับเป็นซึ่งพระเจ้าโกศลผู้ไม่ทรงยินดีในราชสมบัติ ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยนิสสยสมบัติอย่างนี้
มีความเพียรพยายาม ทําวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นอยู่ เพื่อบรรลุพระนิพพานอันเป็นแดนเกษม
จากโยคะ พึงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการโดยลําดับ
ได้ยินว่า ช้างที่รู้อุปการคุณอันนายช่างไม้ทั้งหลายกระทําแก่ตนโดยรักษาเท้าให้หายโรค แล้วให้ลูกช้างเผือกผ่องทั้งตัวแก่นายช่างไม้เหล่านั้น ซึ่งเที่ยวไปอยู่ตัวเดียวในกาลครั้งนั้น ได้มาเป็นพระสารีบุตรเถระบัดนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาครั้นทรงแสดงชาดกปรารภพระสารีบุตรเถระอย่างนี้แล้ว ได้ทรงประทานพระพุทธโอวาทปรารภพระราธเถระอีกว่า " ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุจึงเป็นผู้ว่านอนสอนง่ายเหมือนอย่างราธะ แม้ถูกอาจารย์ชี้โทษให้เห็นโอวาทอยู่ก็ไม่พึงโกรธ อนึ่ง จึงเห็นบุคคลผู้ให้โอวาทเหมือนกับบุคคลผู้ชี้บอกขุมทรัพย์ ” ครั้งทรงเห็นว่าภิกษุทั้งหลายมีอินทรีย์แก่กล้าควรแก่ที่จะได้รับฟังพระธรรมเทศนา เมื่อพระองค์จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาสืบอนุสนธิ โปรดภิกษุทั้งหลายต่อไป จึงได้ตรัสพระพุทธนิพนธคาถาเป็นปัจฉิมพจน์ว่าดังนี้
นิธีนํว ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ
นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
ตาทิสํ ภชมานสฺส เสยฺโย โหติ น ปาปิโย
พึงเห็นบุคคลผู้ชี้โทษให้เหมือนคนบอกขุมทรัพย์ พึงคบกับ
อาจารย์ผู้กล่าวข่ม ผู้เป็นบัณฑิต ผู้มีปัญญาเช่นนั้น เพราะ
เมื่อคบกับอาจารย์เช่นนั้น จะมีแต่ความดีไม่มีความเสียเลย.
ภิกษุทั้งหลายจํานวนมากซึ่งฟังธรรมอยู่ในสมาคมนั้น ส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนาโดย
โยนิโสมนสิการเป็นอันดี ในเวลาจบพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุมรรคผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้น โดยสมควรแก่อุปนิสัยของตนๆ ด้วยประการฉะนี้แล
ลําดับนี้จะได้วิสัชนาอรรถาธิบายความในท้องนิทานและในพระธรรมเทศนาพุทธนิพนธคาถา โดยอาศัยอรรถกถานัยและโดยอัตตโนมัตยาธิบาย เพื่อเฉลิมเพิ่มเติมสติปัญญา ฉลองศรัทธาบารมี เพิ่มพูนกุศลบุญราษี ส่วนธรรมสวนมัยแก่ท่านสาธุชนพุทธบริษัทสืบต่อไป
ในนิทานเรื่องนี้เบื้องต้นแสดงให้เราทั้งหลายได้ทราบว่า การที่พระอุปัชฌาย์ทั้งหลายส่วนมากในสมัยปัจจุบันทุกวันนี้ มีความรังเกียจคนแก่ไม่ยอมเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์รับบวชให้นั้น มีตัวอย่างมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เช่นราธพราหมณ์ซึ่งเป็นคนแก่แลยากจน แม้จะเข้าไปยอมมอบตนเป็นศิษย์วัด รับทําการงานต่างๆ ตั้งแต่ดายหญ้าปัดกวาดบริเวณวัด ตักน้ำฉันน้ำใช้ปฏิบัติฐากพระภิกษุสงฆ์เป็นอันดี ถึงกระนั้น เมื่อราธพราหมณ์จะบวช ก็ไม่มีภิกษุใดกล้ารับอาสาบวชให้ ข้อนี้ได้เป็นธรรมเนียมประเพณีสืบมาจนกระทั่งปัจจุบันสมัยนี้ ส่วนความจริงนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาก็มิได้ทรงบัญญัติห้ามไว้แต่ประการใด เฉพาะในเรื่องราธพราหมณ์นี้ พระองค์ทรงสนับสนุนให้ราธพราหมณ์ได้บวชสําเร็จสมความปรารถนา โดยทรงยกให้เป็นภาระของพระสารีบุตรเถระด้วยความสมัครใจ ส่วนพระสารีบุตรเถระที่รับเป็นภาระบวชให้นั้น ก็ด้วยอํานาจกําลังแห่งความกตัญญูกตเวทิตาธรรม โดยที่ราธพราหมณ์นั้นเคยได้ถวายบิณฑบาตทัพพีหนึ่งครั้งหนึ่งในเมืองราชคฤห์ดังวิสัชนามาแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์รังเกียจคนแก่ คือไม่ยอมรับบวชคนแก่ให้เป็นภิกษุในพระพุทธศาสนานั้น ไม่เป็นการขาดเมตตากรุณา และขัดต่อปฏิปทาของพระมหาอัครสาวก หรือขัดต่อพระพุทธประสงค์ของสมเด็จพระพุทธองค์ไปหรือ ข้อนี้เมื่อได้พิจารณาดูตามเรื่องนี้โดยละเอียดแล้วก็ให้สันนิษฐานได้ว่า การที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ครั้งนั้น ไม่ยอมบวชให้ราธพราหมณ์นั้น พระองค์ก็มิได้ทรงตําหนิโทษแต่ประการใด อันส่อว่าพระพุทธองค์ทรงอนุโลม เมื่อพระสารีบุตรเถระจะรับบวชให้แก่ราธพราหมณ์ซึ่งเป็นคนแก่ พระพุทธองค์ก็ทรงอนุโมทนา โดยอาศัยเหตุนี้ จึงให้ลงสันนิษฐานว่า การที่จะรับบวชคนแก่หรือไม่รับบวชนั้น ย่อมถูกทั้งสองประการ ขึ้นอยู่กับการพินิจพิจารณาของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ว่าจะสมควรรับบวชหรือไม่สมควรนั้น ต้องอาศัยเหตุผลและผลได้ผลเสียในกาลนั้น ๆ ในถิ่นนั้น ๆ เข้าประกอบ คือถ้าคนแก่นั้นยังมีร่างกายแข็งแรงและมีจิตใจเป็นปกติพอที่จะศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ ตามวิสัยของสมณะ และเมื่อบวชแล้วตนก็สามารถที่จะแนะนําสั่งสอนก็ควรรับบวชเช่นพระสารีบุตรเถระรับบวชพราหมณ์นั้น แต่ถ้าคนแก่นั้นร่ายกายไม่แข็งแรงพอที่จะศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ จิตใจก็ฟั่นเฟือน หลงๆ ลืมๆ และตนเองก็ไม่สามารถที่จะอนุเคราะห์แนะนําสั่งสอนได้ เช่นนี้ไม่ควรรับบวช เมื่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์ปฏิบัติโดยอาศัยเหตุผลและผลได้ผลเสียเข้าประกอบเช่นนี้แล้ว จึงจะไม่รับบวชหรือรับบวชคนแก่ก็ชื่อว่าไม่เป็นการขัดต่อปฏิปทาของพระมหาอัครสาวกหรือขัดต่อพระพุทธประสงค์ของสมเด็จพระพุทธองค์แต่ประการใด
อนึ่ง การที่จะควรรับบวชหรือไม่ควรรับนั้น ขึ้นอยู่กับผู้ที่จะบวชด้วย ถ้าผู้ที่จะบวชนั้น แม้ถึงจะเป็นคนแก่ แต่เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสหนักแน่น มีอัธยาศัยจิตใจงาม เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย เมื่อบวชแล้วก็จะตั้งหน้าศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุผลแห่งการบวชตามสมควรแก่อุปนิสัยเช่นดังราธพราหมณ์เป็นตัวอย่าง ก็สมควรที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์จะพึงสงเคราะห์รับบวชให้ เดินตามรอยทางที่ท่านพระสารีบุตรเถระผู้มหาอัครสาวกได้ปฏิบัติมาแล้ว แต่ถ้าคนแก่นั้น เป็นผู้ไม่ค่อยจะมีศรัทธาและความเลื่อมใสอย่างจริงจัง ทั้งเป็นผู้ไม่สุภาพเรียบร้อย มีอัธยาศัยจิตใจกระด้างแข็งกล้า เป็นผู้ว่ายากสอนยาก เมื่อบวชแล้วก็จะทําตนให้เป็นดุจหลักตอในวัดวาศาสนา เช่นนี้ก็ไม่สมควรจะรับบวช ด้วยเหตุนั้นกุลบุตรผู้จะบวชในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นคนอยู่ในวัยหนุ่มหรือวัยแก่ก็ตาม ประการสําคัญจะต้องประพฤติตนให้เป็นผู้ว่านอนสอนง่ายเป็นคุณสมบัติประจําตน เพราะบุคคลผู้ว่านอนสอนง่ายนั้น ย่อมไม่เป็นที่หนักอกหนักใจของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เมื่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่หนักใจในการที่จะแนะนําสั่งสอนแล้ว ท่านจะมีความเมตตากรุณายินดีรับสงเคราะห์ได้เป็นจํานวนมาก อันเป็นทางที่จะนํามาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระศาสนาและความอยู่เป็นสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย สมดังที่พระสารีบุตรเถระทูลตอบสมเด็จพระพุทธองค์ว่า “ เมื่อได้สัทธิวิหาริก ผู้ว่านอนสอนง่าย เหมือนพระราธะแล้ว จะรับสงเคราะห์ได้มากทีเดียว ” ดังนี้
อนึ่ง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้คุณค่าแห่งความเป็นคนกตัญญูกตเวที โดยมีพระสารีบุตรเถระผู้อัครสาวกเป็นตัวอย่าง คําว่า “ กตัญญู ” แปลว่า ผู้รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นได้ทําไว้ คือผู้รู้จักคุณคนนั่นเอง “ กตเวที แปลว่าผู้ทําอุปการคุณที่ผู้อื่นทําไว้แล้วนั้นให้ปรากฏ ได้แก่สามารถรักษาอุปการคุณนั้นไว้ได้ไม่ให้เสื่อมสูญไปเสีย คุณธรรมคือความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมนี้ โดยปกติเป็นภาระหน้าที่ของอนุชน เช่นพระสาวกต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ราษฎรต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์หรือรัฐบาล บุตรธิดาต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดา ศิษย์ต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่ออาจารย์ แต่เมื่อว่าโดยพิเศษแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของบุคคลผู้ที่ได้รับอุปการคุณจากบุคคลอื่นมาก่อนจะเป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อยก็ตาม ต้องเป็นผู้มีภาระหน้าที่จะต้องเป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่อุปการะมาก่อนทั้งนั้น เช่นพระสารีบุตรเถระ ซึ่งท่านอยู่ในฐานะแห่งพระอรหันต์ชั้นมหาอัครสาวก ท่านก็ต้องทําหน้าที่กตัญญูกตเวทีต่อราธพราหมณ์ซึ่งเป็นคนชั้นสามัญธรรมและยากจนด้วย แต่ด้วยเหตุได้เคยถวายบิณฑบาตแก่ท่านพระสารีบุตรเถระทัพพีหนึ่งนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ได้ทําอุปการคุณแก่ท่านพระสารีบุตรเถระมาก่อน การที่ท่านพระสารีบุตรเถระ ระลึกอุปการคุณนั้นได้ไม่หลงลืมแม้บิณฑบาตเพียงทัพพีเดียว ข้อนี้ได้ชื่อว่าท่านเป็นผู้ " กตัญญู " คือรู้คุณบิณฑบาตอันเล็กน้อยนั้น การที่ท่านพระสารีบุตรเถระประกาศอุปการคุณนั้นให้ปรากฏในที่กลางสงฆ์ซึ่งมีพระพุทธองค์เป็นประธานก็ดี การที่ท่านรับสงเคราะห์ราธพราหมณ์ให้บวชก็ดี ชื่อว่าท่านเป็นผู้ " กตเวที ” คือประกาศอุปการคุณให้ปรากฏหรือรักษาอุปการะคุณนั้นไว้เป็นคุณสมบัติ แม้พียงนิดเดียวไม่เสื่อมหายไปจากจิตสันดานของท่าน เพราะฉะนั้นท่านพระสารีบุตรเถระจึงเป็นที่ปรากฏกันในวงชาวพุทธทั่วโลกว่าเป็นบุคคลตัวอย่างในหน้าที่กตัญญูกตเวทีบุคคล มาจนกระทั่งปัจจุบันทุกวันนี้
ในสมัยพุทธกาลโน้น เพราะเหตุที่ท่านพระสารีบุตรเถระระลึกถึงอุปการคุณของราธพราหมณ์ได้ด้วยเพียงบิณฑบาตทัพพีเดียว และรับเป็นภาระธุระสงเคราะห์ราธพราหมณ์ให้ได้บวชในศาสนา แล้วได้บรรลุพระอรหัตในที่สุดนั้น ภิกษุทั้งหลายเห็นเป็นที่น่าอนุโมทนาสาธุการจึงได้นํามาวิพากษ์วิจารณ์กันว่า “ ได้ยินว่าพระสารีบุตรเถระเป็นผู้กตัญญูเป็นผู้กตเวที อุปการคุณเพียงภิกษาหารทัพพีเดียวก็ระลึกได้ แล้วรับสงเคราะห์พราหมณ์ผู้ตกยากให้ได้บวช แม้พระราธเถระก็เป็นผู้อดทนต่อโอวาท และได้พระอาจารย์ผู้อดทนโอวาท ” ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดาครั้นทรงทราบดังนั้นจึงตรัสเสริมว่า “ มิใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อน สารีบุตรก็เป็นผู้กตัญญูเป็นผู้กตเวทีมาแล้วเหมือนกัน ” ดังนี้แล้ว ได้ทรงแสดงอลีนจิตตชาดกโดยพิสดาร เพื่อประกาศความเป็นผู้กตัญญูกตเวทีของพระสารีบุตรเถระในชาติก่อน ส่วนความพิสดารนั้น มีปรากฎอยู่ในชาดกนั้นแล้ว ไม่สามารถนํามาวิสัชนาในที่นี้ได้ แต่มีใจความสําคัญว่า ในชาติก่อนนั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้เป็นช้างอยู่โดยโดดเดี่ยว เมื่อเกิดเท้าเจ็บขึ้นได้อาศัยพวกนายช่างไม้รักษาให้หายจากโรคนั้น ช้างรู้อุปการคุณนั้นจึงให้ลูกช้างเผือกผ่องทั้งตัวเป็นการสนองคุณแก่พวกช่างไม้นั้น ตามที่วิสัชนามานี้แสดงให้เห็นว่า ท่านพระสารีบุตรเถระเป็นบุคคลตัวอย่างในทางกตัญญูกตเวทีนั้น ภิกษุทั้งหลายในสมัยพุทธกาลโน้นก็พากันอนุโมทนาสาธุการ แม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงสนับสนุนส่งเสริมยกย่องเช่นนั้น และทรงแสดงให้เห็นยาวไปอีกว่าเคยได้เป็นผู้หนักในความกตัญญูกตเวทีมาแต่ชาติปางก่อนแล้ว ดังวิสัชนามานั้น อันปฏิปทาของท่านพระสารีบุตรมหาอัครสาวกนี้ สมควรที่พวกเราเหล่าสาธุชนพุทธบริษัท ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งหลาย จะพึงยึดถือเป็นหลักปฏิบัติอนุวัตรตามท่าน เพราะความกตัญญูกตเวทีนั้น เป็นคุณธรรมที่มีความสําคัญยิ่งในทางที่สร้างนิสัยอนุชนให้เป็นคนดี เพราะเหตุที่จะให้รักษาสมบัติของบรรพบุรุษบุรพาจารย์ได้มอบไว้ให้แก่อนุชนนั้นก็มีแต่จะสาบสูญอันตรธานไป เช่นถ้าอนุชนฝ่ายโลกเป็นคนอกตัญญูกตเวที ชาติก็จะสูญ ถ้าอนุชนฝ่ายศาสนาเป็นคนอกตัญญูกตเวที ศาสนาก็จะสิ้นสูญอันตรธานโดยไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะในทางศาสนานี้ถ้าชาวพุทธทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ไม่มุ่งหน้าศึกษาให้รู้ธรรม เกิดเป็นอกตัญญูขึ้น และไม่ปฏิบัติธรรมให้ธรรมปรากฏในตน เกิดเป็นคนอกตเวทีขึ้น ดังนี้เมื่อไร ปริยัติศาสนาและปฏิบัติศาสนารวมทั้งปฏิเวธศาสนาด้วย ก็ได้ชื่อว่าสิ้นสูญอันตรธานเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นความเป็นคนกตัญูกตเวที จึงนับว่าเป็นเรื่องสําคัญอย่างยิ่ง ด้วยประการฉะนี้
เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสโอวาทภิกษุทั้งหลายโดยทรงปรารภพระสารีบุตรเถระเป็นตัวอย่างแล้ว จึงตรัสโอวาทโดยปรารภพระราธเถระเป็นตัวอย่างอีกว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุพึงทําตนให้เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย เหมือนอย่างพระราธะ พระราธะนั้น แม้อาจารย์จะชี้โทษว่ากล่าวสักเท่าไรๆ ก็ไม่โกรธ อนึ่งพึ่งเห็นอาจารย์ผู้ให้คําสั่งสอนเหมือนคนผู้ชี้บอกขุมทรัพย์ ” ครั้งแล้วได้ตรัสพระธรรมเทศนาโปรดโดยพระพุทธนิพนธคาถาสุภาษิต ซึ่งมีข้อความสั้น ๆ ดังนี้
พึงเห็นบุคคลผู้ชี้โทษให้เหมือนคนบอกขุมทรัพย์ พึงคบกับ
อาจารย์ผู้กล่าวข่ม ผู้เป็นบัณฑิต ผู้มีปัญญาเช่นนั้น เพราะ
เมื่อคบกับอาจารย์เช่นนั้น จะมีแต่ความดีไม่มีความเสียเลย
อธิบายว่า คนที่ชี้โทษนั้น มี ๒ ประเภท คือประเภทหนึ่งคอยเสาะหาโทษของคนอื่นด้วยอกุศลเจตนา หวังจะนําไปประจานหน้ากันในที่ประชุมให้เกิดความอัปยศอดสูแก่ผู้อื่นเป็นประมาณ อีกประการหนึ่ง คอยนําความบกพร่องต่างๆ มาชี้ให้เห็นด้วยกุศลเจตนา หวังจะช่วยให้บรรลุถึงซึ่งความเจริญรุ่งเรืองเป็นเบื้องหน้า คนผู้ชี้โทษในที่นี้หมายเอาประเภทหลัง ธรรมดาคนเราส่วนมากนั้น ทั้งๆ ที่ตนบกพร่องก็ไม่อยากให้ใครกล่าวว่าบกพร่อง ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ผิดก็ไม่อยากให้ใครกล่าวว่าผิด ทั้งนี้เพราะกิเลสเป็นเครื่องสร้างจิตใจให้เห็นแก่ตัวให้เข้าข้างตัว ซึ่งมีประจําสันดานสามัญชนอยู่ เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ จึงถ้ามีครูบาอาจารย์คือใครๆ มาชี้ความผิดหรือชี้โทษของตนให้เห็น จึงไม่ชอบและมักจะโกรธ หรือมิดังนั้นก็ไม่อยากจะเข้าหน้าคบค้าสมาคม เพราะฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสสอนในที่นี้อย่างตรงกันข้ามว่า “ อย่าโกรธอย่าเกลียดผู้ที่ชี้โทษหรือบอกความบกพร่องของตนให้ จึงเห็นคนที่ชี้โทษให้เหมือนคนบอกขุมทรัพย์ ” หมายความว่าคนที่ยากจนนั้น ถึงแม้คนที่บอกขุมทรัพย์ให้นั้นจะขู่ตวาดบ้างจะตบตีเอาบ้างก็ไม่โกรธด้วย มีความดีอกดีใจและเพียรพยายามเข้าไปใกล้ ฉันใด อันคนเรานี้ว่าตามที่ถูกแล้ว เมื่อมีครูอาจารย์หรือคนอื่นใดเห็นความบกพร่องหรือการกระทําที่ไม่สมควร ไม่ดีไม่งาม แล้วอุตส่าห์มาบอก หรือ กรุณาชี้แจงให้ได้เห็นคุณและโทษ ไม่ควรจะโกรธจะเกลียดเลย ตรงกันข้ามควรจะดีใจและขอบคุณท่านผู้นั้น และควรจะปวารณาขอให้ท่านผู้นั้นกรุณาว่ากล่าวตักเตือนเช่นนั้นต่อไป เพราะฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาเมื่อจะทรงสอนตามทางที่ถูก ไม่เอนเอียงไปตามจิตใจของบุคคลที่มีกิเลส จึงได้ตรัสสอนว่า พึงเห็นคนชี้โทษให้เหมือนคนบอกขุมทรัพย์ ฉะนี้
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น สมเด็จพระบรมศาสดายังทรงตรัสสอนให้ยิ่งไปอีกว่า “ พึงคบอาจารย์ผู้กล่าวข่มผู้เป็นบัณฑิต ผู้มีปัญญาเช่นนั้น “ หมายความว่า ครูอาจารย์หรือผู้ใหญ่ที่ดีแล้วย่อมไม่ตามใจศิษย์และผู้น้อยในทางที่ผิด เมื่อเห็นผิดเมื่อไรจักต้องนํามาชี้ให้เห็นทันที พร้อมกันนั้นก็ห้ามมิให้กระทําเช่นนั้นต่อไป ถ้ายังขืนทํา ก็ต้องลงโทษกันตามควรแก่โทษ คนเช่นนี้ชื่อว่าอาจารย์ผู้กล่าวข่ม คือข่มขัดไว้ไม่ให้กระทําสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม และอาจารย์เช่นนั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิตและใช้ปัญญาเป็นทางปฏิบัติกับศิษย์ ซึ่งคนธรรมดาโดยมาก ย่อมกลัวต่ออาจารย์ซึ่งมีลักษณะกล่าวข่มและเป็นบัณฑิตใช้ปัญญาเช่นนี้ ไม่อยากจะไปคบหาสมาคม ไม่อยากเข้าไปอยู่ใกล้ คือไม่อยากไปศึกษาอบรมอยู่ในสํานักของอาจารย์เช่นนั้น แต่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสสอนตรงกันข้าม คือให้เข้าคบหาสมาคม ให้เข้าไปสมัครอยู่ในสํานักอาจารย์เช่นนั้น เพราะเหตุไรจึงตรัสสอนบทสุดท้ายว่า “ เพราะการเข้าไปคบหากับอาจารย์เช่นนั้น จะมีแต่ความดีไม่มีความเสียเลย ” เพราะเหตุว่าเมื่อบุคคลได้อาจารย์ที่ดีมีความสามารถหักห้ามจิตใจของศิษย์ คือไม่ปล่อยให้ทําอะไรอย่างเสียๆ ไปตามใจ เหมือนอย่างท่านพระสารีบุตรเถระหมั่นพยายามพร่ำสอนราธะภิกษุอยู่เนืองๆ นับแต่บวชมาไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตสําเร็จเป็นพระอรหันตขีณาสพในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นผู้ที่กล้าเข้าไปอยู่กับอาจารย์ที่เป็นครูแท้มีคุณสมบัติอันดีงาม และกล้าสามารถในอันข่มขัดดัดสันดาน แสดงให้เห็นชัดถึงผลได้ผลเสีย อย่างบัณฑิตนักปราชญ์ไม่อ่อนแอเช่นนั้น จึงย่อมจะมีแต่ความเจริญอย่างเดียวไม่มีความเสื่อมเสียเลย ด้วยประการฉะนี้
แสดงพระธรรมเทศนาในเรื่องพระราธเถระ ก็นับว่าพอเป็นเครื่องโสดสรงองคศรัทธาและสมควรแก่กาลเวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:มหาอุบาสิกาวิสาขา กัณฑ์ที่ ๔
พระธรรมบทเทศนา พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา (๘) เรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขา กัณฑ์ที่ ๔ --------------------------------------- นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา กยิรา มาลาคุเณ พหู เอวํ ชาเตน มจฺเจน กตฺตพฺพํ กุสฺลํ พหุนฺติ
อนุสนธิพระธรรมเทศนา ณ บัดนี้จะวิสัชนาพระธรรมเทศนา เรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขา กัณฑ์ที่ ๔ โดยอนุสนธิสืบเนื่องมาจากกัณฑ์ที่ ๓ ซึ่งได้วิสัชนามาแล้ว เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธีส่วนธรรมสวนมัยสืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า -
ภิกฺขู ตสฺสา สทฺทํ สุตฺวา - ภิกษุทั้งหลายได้ยินเสียงอุทานของมหาอุบาสิกาวิสาขานั้นแล้ว ได้นําความกราบทูลแด่สมเด็จพระบรมศาสดาว่า “ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เคยได้เห็นมหาอุบาสิกาวิสาขาขับร้องมาตลอดกาลนานถึงปานนี้ วันนี้มหาอุบาสิกาห้อมล้อมไปด้วยบุตรและหลานเหลนขับร้องเที่ยวไปรอบ ๆ ปราสาท มหาอุบาสิกานั้นจะเกิดเป็นโรคดีกําเริบเสียแล้วกระมัง หรืออาจจะเป็นคนวิกลจริตไปเสียแล้ว ? “ สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสชี้แจงว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ธิดาของเรามิได้ขับร้องดอก แต่เธอได้มีอัชฌาสัยของตนเต็มบริบูรณ์แล้ว เธอมีความดีใจว่า ความปรารถนาของเธอที่ได้ปรารถนาไว้แล้วนั้น ได้ถึงซึ่งขั้นสุดยอดแล้ว จึงได้เที่ยวเดินเปล่งอุทานอยู่ดังนั้น “ ครั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามว่า “ ก็มหาอุบาสิกาวิสาขาได้ตั้งความปรารถนาไว้ตั้งแต่เมื่อไร พระพุทธเจ้าข้า “ จึงทรงซักว่า “ พวกเธอต้องการจักฟังหรือภิกษุทั้งหลาย “ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ ข้าพระพุทธเจ้า ทั้งหลายปรารถนาจะฟัง พระพุทธเจ้าข้า “ ดังนี้แล้วจึงทรงนําเรื่องอดีตนิทานมาแสดง ซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้ -
อตีเต ภิกฺขเว - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลนับถอยหลังแต่ภัททกัปนี้ไปได้แสนกัป สมเด็จพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบังเกิดในโลก พระพุทธองค์ทรงมีพระชนมายุได้แสนปี มีพระขีณาสพแสนหนึ่งเป็นพุทธบริวาร พระนครของพระองค์ชื่อพระนครหังสวดี พระพุทธบิดาเป็นพระราชา พระนามว่าพระเจ้าสุนันทะ พระพุทธมารดาเป็นพระราชเทวี พระนามว่าพระนางเจ้าสุชาดา อุบาสิกาผู้เป็นยอดอุปฐายิกาของพระพุทธองค์นั้น ขอพร ๘ ประการ ดํารงอยู่ในฐานะดังพระพุทธมารดา ปฏิบัติพระพุทธองค์ด้วยปัจจัยทั้ง ๔ ไปสู่ที่อุปัฏฐากทั้งเช้าทั้งเย็น หญิงสหายคนหนึ่งของอุบาสิกานั้นได้ไปวัดกับอุบาสิกานั้นเนืองนิตย์ ครั้นได้เห็นการสนทนาและความโปรดปรานระหว่างอุบาสิกานั้นกับสมเด็จพระพุทธองค์อย่างสนิทสนม จึงคิดว่า เพราะทําอะไรมาหนอจึงเป็นที่โปรดปรานของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ แล้วได้กราบทูลถามสมเด็จพระพุทธองค์ว่า “ พระพุทธเจ้าข้า หญิงผู้นี้เป็นอะไรกับพระพุทธองค์ ? “ สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ เป็นยอดแห่งอุปฐายิกาทั้งหลาย อุบาสิกา “ หญิงสหายนั้นกราบทูลถามว่า “ เขาทําบุญกรรมอะไรไว้จึงได้เป็นยอดแห่งอุปฐายิกาทั้งหลาย พระพุทธเจ้าข้า “ สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ เธอได้ตั้งความปรารถนาไว้เป็นเวลาหนึ่งแสนกัป อุบาสิกา “ หญิงสหายนั้นกราบทูลถามว่า “ หม่อมฉันจะตั้งความปรารถนาเดี๋ยวนี้จะเป็นไปได้ไหม พระพุทธเจ้าข้า “ สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ เป็นไปได้ อุบาสิกา “ หญิงสหายนั้นจึงกราบทูลอาราธนาว่า “ พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเช่นนั้น ขอสมเด็จพระพุทธองค์กับภิกษุสงฆ์แสนหนึ่ง จงทรงพระกรุณารับอาหารบิณฑบาตของหม่อมฉันเป็นเวลา ๗ วันเถิด “ สมเด็จพระพุทธองค์ก็ได้ทรงรับอาราธนาตามความประสงค์ หญิงสหายนั้นถวายทานตลอดกาล ๗ วัน แล้วในวันสุดท้ายได้ถวายผ้าจีวรทั้งหลาย กราบถวายบังคมพระพุทธองค์ แล้วหมอบลงแทบพระพุทธบาทตั้งความปรารถนาว่า “ พระพุทธเจ้าข้า ! ด้วยผลแห่งทานนี้ หม่อมฉันมิได้ปรารถนาผลอย่างใดอย่างหนึ่ง มีความเป็นใหญ่ในเทวโลกเป็นต้น แต่ขอหม่อมฉันพึงได้พร ๘ ประการ ในสํานักของพระพุทธเจ้าเช่นกับพระพุทธองค์สักพระองค์หนึ่ง จึงดํารงอยู่ในฐานะดังพระพุทธมารดา เป็นยอดของสตรีทั้งหลาย ผู้สามารถปฏิบัติพระพุทธเจ้าด้วยปัจจัยทั้ง ๔ “ สมเด็จพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ทรงรําพึงดูกาลอนาคตว่าความปรารถนาของอุบาสิกานี้จักสําเร็จหรือไม่ประการใด ทรงตรวจพระพุทธญาณดูไปตลอดแสนกัปแล้วทรงพยากรณ์แก่หญิงสหายนั้นว่า “ ในที่สุดแห่งแสนกัปนับแต่นี้ไป พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ จักทรงบังเกิดขึ้นในโลก ในกาลนั้น เธอจักได้เป็นอุบาสิกานามว่า วิสาขา จักได้พร ๘ ประการ ในสํานักของพระโคตมพุทธเจ้านั้น จักดํารงอยู่ในฐานะตั้งพุทธมารดา เป็นยอดของอุปฐายิกาทั้งหลายผู้ปฏิบัติพระพุทธเจ้าด้วยปัจจัยทั้ง ๔ “ สมบัตินั้นได้ปรากฏแก่หญิงสหายนั้นเป็นดุจว่าเป็นสิ่งอันตนจะพึงได้ในพรุ่งนี้นั่นเทียว ด้วยประการฉะนี้
สา ยาวตายุกํ ปุญฺญํ กตฺวา - หญิงสหายนั้น ครั้นบําเพ็ญบุญกุศลอยู่ในชาตินั้นจนตลอดกาลอายุขัยแล้ว ก็ได้ถึงแก่มรณกรรมตามสังขารธรรมวิสัย ไปบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวเกิดอยู่ในเทวโลกและมนุสสโลกตลอดกาลนาน ครั้นต่อมาในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เกิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากิกีผู้ครองแว่นแคว้นกาสี องค์เล็กในบรรดาพระราชธิดา ๗ องค์ มีพระนามว่าพระนางสังฆทาสี ไม่ทรงอภิเษกสมรส ทรงบําเพ็ญบุญกุศลนานาประการมีทานเป็นต้นร่วมกับบรรดาพระเชฏฐภาคินีทั้ง ๗ องค์ นั้นตลอดกาลนาน แล้วได้ทรงทําความปรารถนาไว้แทบพระพุทธบาทของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในอนาคตกาล ขอหม่อมฉันพึงได้รับพร ๘ ประการ ในสํานักของพระพุทธเจ้า เหมือนอย่างพระพุทธองค์ดํารงอยู่ในฐานะดังพุทธมารดา ซึ่งเป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้ถวายปัจจัย ๔ - ก็จําเดิมแต่นั้นมา เธอได้ท่องเที่ยวไปเกิดในเทวโลกและมนุสสโลกตลอดกาลนาน ครั้นมาในชาตินี้ เธอได้บังเกิดเป็นธิดาของธนัญชัยเศรษฐีผู้เป็นบุตรของเมณฑกเศรษฐี ได้บําเพ็ญกุศลเป็นอันมากในศาสนาของเรา ฉะนี้
สมเด็จพระบรมศาสดา ครั้นทรงนําอดีตนิทานมาแสดงดังนี้แล้ว ได้มีพระพุทธดํารัสว่า “ ภิกษุทั้งหลายธิดาของเรามิได้ขับร้องดอก แต่เธอเห็นความสําเร็จแห่งความปรารถนาที่เธอตั้งไว้แล้ว ก็เปล่งคําอุทานออกมาเท่านั้น “ เมื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาได้ทรงประทานพระพุทธโอวาทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายมาลาการช่างดอกไม้ผู้ขยัน รวมดอกไม้ต่าง ๆ ไว้เป็นกองใหญ่แล้ว ย่อมร้อยเป็นพวง ๆ มาลาหลายอย่างหลายประการ ฉันใด จิตของวิสาขาก็น้อมไปเพื่อจะบําเพ็ญกุศลมีประการต่าง ๆ ฉันนั้น ครั้นแล้วพระพุทธองค์จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลาย โดยพระพุทธนิพนธคาถาเป็นปัจฉิมพจน์ ดังนี้
ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา กยิรา มาลาคุเณ พหู เอวํ ชาเตน มจฺเจน กตฺตพฺพํ กุสฺลํ พหํ
ช่างดอกไม้ผู้ฉลาดจึงร้อยดอกไม้จากกองดอกไม้ให้เป็นพวงมาลัยเป็นอันมาก แม้ ฉันใด บุคคลผู้เกิดมาแล้วพึงบําเพ็ญกุศลไว้ให้มาก ๆ ฉันนั้น
เทสนาวสาเน พหู - ภิกษุทั้งหลายเป็นอันมากส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี ในเวลาจบพระธรรมเทศนาต่างก็ได้สําเร็จเป็นพระอริยบุคคลมีพระโสดาบัน เป็นต้น พระธรรมเทศนาครั้งนั้น ได้สําเร็จเป็นประโยชน์แก่มหาชนเป็นอันมาก ด้วยประการฉะนี้แล
จบนิทาน
ลําดับนี้ จะได้วิสัชนาอรรถาธิบายความในท้องนิทานและในพระพุทธนิพนธคาถาสุภาษิต โดยอาศัยหลักอรรถกถานัย และโดยอัตตโนมัตยาธิบาย เพื่อเฉลิมเพิ่มเติมสติปัญญาฉลองศรัทธาบารมี เพิ่มพูนกุศลบุญภษีส่วนธรรมสวนมัยแก่สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายสืบต่อไป
นิทานเรื่องนี้ค่อนข้างจะยาว เพื่อให้เหมาะสมกับเวลาในการแสดงธรรมจึงได้แบ่งเป็น ๔ กัณฑ์ และเป็นเรื่องที่ให้เกิดความรู้แก่พุทธศาสนิกชนหลายประการ ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ด้านบุคคลสําคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาสมัยพุทธกาล และด้านสารธรรมที่ควรนํามาเป็นคติเครื่องเตือนใจเป็นต้น
ในด้านประวัติศาสตร์นั้น นิทานเรื่องนี้แสดงให้ได้ความรู้ว่า สมัยพุทธกาลนั้น ได้มีพระราชาที่มีส่วนได้ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอยู่ ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าพิมพิสาร ผู้ทรงเป็นอิสระในแว่นแคว้นแดนดินมคธ ซึ่งทรงดํารงสิริราชสมบัติอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ อันเป็นพระนครหลวงพระองค์ ๑ พระเจ้าปเสนทิ ผู้ทรงเป็นอิสระในแว่นแคว้นแดนดินโกศล ซึ่งทรงดํารงสิริราชสมบัติอยู่ ณ กรุงสาวัตถี อันเป็นพระนครหลวง ซึ่งมักจะเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ๑ พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์นี้ ต่างก็ทรงได้กนิษฐภาคินีของกันและกันมาเป็นพระอัครมเหสี พระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินมคธนั้น ได้ทรงถวายพระราชอุทยานสวนไม้ไผ่ สร้างเป็นพระอารามถวายสมเด็จพระบรมศาสดา ซึ่งอยู่ชานพระนครราชคฤห์ อันมีนามว่า เวฬุวันมหาวิหาร และนับว่าเป็นวัดแรกที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา พระองค์เองก็ทรงสําเร็จเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล และทรงเป็นองค์เอกอัครสานูปถัมภ์ คือทรงช่วยทะนุบํารุงพระพุทธศาสนาจนตลอดพระชนมายุ จึงทรงมีพระนามปรากฏติดอยู่ในพระพุทธวจนะ ซึ่งมีทั้งในพระบาลีอรรถกถาและชาดก จนเป็นที่รู้จักของชาวพุทธบริษัททั้งหลายสืบมาตลอดถึงสมัยปัจจุบันทุกวันนี้ ส่วนพระเจ้าปเสนทิ พระเจ้าแผ่นดินโกศลหรือที่รู้กันว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น ทรงครองพระนครสาวัตถีมีพระนางมัลลิกาเป็นพระอัครมเหสี ครั้งหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร พร้อมด้วยพระอัครมเหสี พระนางมัลลิกา ได้ทรงบําเพ็ญมหาทานถวายสมเด็จพระพุทธองค์ พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ เป็นงานอันยิ่งใหญ่มโหฬาร มหาทานครั้งนั้นได้นามว่า “ อสมิสทาน ” ซึ่งหมายความว่า ไม่มีทานอื่นใดเสมอเหมือน และทราบว่าทานอันยิ่งใหญ่ที่ได้นามว่า อสทิสทานนั้นในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ก็มีได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงได้เป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงบำเพ็ญมหาทานอันยิ่งใหญ่ในพระพสุทธศาสนา อย่างไม่มีใครทําได้เสมอเหมือน เรื่องอสทิสทานนี้ มีข้อความพิสดารอยู่ในโลกวรรคที่ ๑๓ ลําดับเรื่องที่ ๑๔๖ ข้างหน้า และพระเจ้าปเสนทิโกศลนี้ ก็ทรงมีพระนามปรากฏอยู่ใน พระพุทธวจนะในพระไตรปิฎกหลายแห่งสืบมาจนสมัยปัจจุบันทุกวันนี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์นี้ จึงนับว่าได้ทรงบําเพ็ญพระราชจริยาวัตรไว้เป็นอันดี จนมีพระนามปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาด้วยประการฉะนี้
ส่วนที่พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์มีพระราชกรณียกิจเกี่ยวข้องในเรื่องนี้นั้น คือ ธนัญชัยมหาเศรษฐีซึ่งเป็นบิดาของมหาอุบาสิกาวิสาขานั้น เดิมมีชาติภูมิอยู่ที่ภัททิยนคร ซึ่งอยู่ในแว่นแคว้นมคธ อันพระเจ้าพิมพิสารทรงครอบครองอยู่ เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปขอมหาเศรษฐีที่มีบุญมาก ขนาดที่มีโภคสมบัติจนนับไม่ถ้วน เพื่อเชิญไปไว้เป็นมิ่งขวัญมงคลในแว่นแคว้นโกศลนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงพระราชทานธนัญชัยมหาเศรษฐีถวาย ส่วนพระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อทรงนําธนัญชัยมหาเศรษฐีไปไว้อยู่ประจําแว่นแคว้นโกศลนั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้สร้างเมืองใหม่ขึ้นอีกเมืองหนึ่งสําหรับเป็นที่อยู่ของธนัญชัยมหาเศรษฐี ซึ่งมีนามว่าเมืองสาเกตสืบมา มีระยะทางห่างจากพระนครสาวัตถี ๗ โยชน์ หรือประมาณ ๒๘๐ กิโลเมตร ครั้นต่อมาในคราวงานมงคลสมรสของมหาอุบาสิกาวิสาขากับปุณณวัฒนกุมารบุตรของมิคารเศรษฐีชาวพระนครสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้ทรงพระกรุณาเป็นพระประมุขเสด็จไปรับนางวิสาขาถึงเมืองสาเกต และเสด็จประทับอยู่ที่เมืองสาเกตนั้นถึง ๔ เดือน จึงนับว่าพระมหากษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแด่ตระกูลของมหาอุบาสิกาวิสาขามาด้วยประการฉะนี้
ในด้านที่แสดงถึงบุคคลสําคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนานั้น ได้แก่มหาอุบาสิกาวิสาขา แม้สมัยพุทธกาลซึ่งมีสมเด็จพระพุทธองค์ทรงเป็นประมุขอยู่นั้น การดํารงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาก็ดี การเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญกว้างขวางไปก็ดี ก็ต้องอาศัยกําลังอุปถัมภ์จากพุทธบริษัทที่เป็นอุบาสกและอุบาสิกาปัจจัยอันสําคัญ เพราะถ้าขาดกําลังอุปถัมภ์จากอุบาสกอุบาสิกาแล้ว พระพุทธศาสนาก็ย่อมจะดํารงอยู่หรือแพร่หลายออกไปไม่ได้ เช่นเดียวกับสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าจังหวัดไหนวัดใดได้รับอุปการะเป็นอย่างดีโดยสมควรกันจากอุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลายแล้ว วัดวาศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองงาม และสําเร็จเป็นคุณประโยชน์แก่สังคมมหาชนอย่างคู่ควรกัน ในสมัยพุทธกาลนั้น ด้านอุบาสิกาผู้ช่วยอุปถัมภ์ศาสนาและวัดวาอาราม สมเด็จพระพุทธองค์ทรงได้มหาอุบาสิกาวิสาขาเป็นกําลังอันสําคัญยิ่งใหญ่ที่สุด จนมหาอุบาสิกาวิสาขาได้รับยกย่องว่าเป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายในโลก เพราะฉะนั้น สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จึงสมควรที่ศึกษาให้รู้จักมหาอุบาสิกาวิสาขา ทั้งในด้านชาติเชื้อตระกูล ทั้งในด้านการประพฤติปฏิบัติ ตามที่ได้วิสัชนาแล้วโดยลําดับ เพราะมหาอุบาสิกาวิสาขานั้น นับว่าเป็นสตรีแบบอย่างทั้งในทางโลกทั้งในทางธรรม ในทางโลกมหาอุบาสิกาวิสาขาได้เป็นธิดาที่ดีของมารดาบิดา เมื่อมีบ้านเรือนแล้วก็ เป็นภริยาที่ดีของสามีและเป็นศรีสะใภ้ที่ดีของปู่ย่า เมื่อดํารงอยู่ในฐานะเป็นมารดา ก็เป็นมารดาที่ดีของบุตรธิดา และเป็นคุณย่าคุณยายที่ดีของบรรดาหลานเหลนทั้งหลาย ในทางศาสนาก็ได้ถวายตนเป็นอุบาสิกาที่ดีของพระพุทธศาสนา เป็นที่พึ่งแก่ภิกษุสามเณรตลอดถึงอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ในส่วนตนของตน ได้มีความเชื่อเลื่อมใสในพระศาสนาอย่างแน่วแน่มั่นคง ดํารงตนอยู่ในฐานะเป็นอริยสาธิกาขั้นพระโสดาบันบุคคล ซึ่งนับเป็นบุคคลที่เที่ยงแท้แน่นอนในอันที่จะพ้นจากสังสารทุกข์อย่างเด็ดขาดอย่างนานก็ไม่เกิน ๗ ชาติข้างหน้า และเป็นบุคคลที่แน่นอนในอันที่จะไม่ไปสู่อบายภูมิทั้ง ๔ คือไม่เกิดในกําเนิดเดียรัจฉาน ไม่เกิดในกําเนิดเปรต ไม่เกิดในกําเนิดอสูรกาย และไม่ตกนรก ตลอดกาลนิรันดร ในส่วนเสียสละตนและทรัพย์สมบัติช่วยเหลือสังคมทั่ว ๆ ไปนั้น ไม่ว่าใคร ๆ จะทําบุญสุนทรีทานที่ไหน มหาอุบาสิกาวิสาขา ก็ยอมเสียสละเวลาไปร่วมเป็นสหายบุญทุกหนทุกแห่งโดยไม่รังเกียจ และไม่เห็นแก่การทุกข์ยากลําบากส่วนตน จนถึงกับปรากฏเป็นที่รู้ทั่วกันว่า ถ้าในงานการกุศลของใคร ณ ที่ไหนมหาชนไม่เห็นมหาอุบาสิกาไปร่วมเป็นสหายอยู่ด้วยแล้ว งานนั้นก็จะได้รับการครหานินทาจากคนทั้งหลายว่า จะเป็นบุญกุศลอะไรจะเป็นการเป็นงานอะไร ดังนี้ ในส่วนการทะนุบํารุงภิกษุสามเณรผู้ศึกษาปฏิบัติพระพุทธศาสนานั้น มหาอุบาสิกาวิสาขาได้เสียสละเวลาออกไปสู่ที่บํารุงสงฆ์ ณ ที่วัดวันละ ๒ หน คือ เวลาเช้ากับเวลาบ่าย เมื่อไปเวลาเช้า ก็ให้สาวใช้ถือของเคี้ยวของฉันติดมือไปด้วย เมื่อไปเวลาบ่ายก็ให้ถือเภสัช คือสิ่งที่เป็นยาภิกษุสามเณรฉันใดในเวลาวิกาลไปด้วย เช่น เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และน้ำปานะทั้ง ๘ คือ น้ำปานะที่ปรุงด้วยผลมะม่วง ผลลูกหว้า ผลกล้วยมีเมล็ด ผลกล้วยไม่มีเมล็ด ผลมะปราง ผลลูกจันทร์ เหง้าบัว และผลมะปรางคหรือลิ้นจี่ ไม่เคยมีมือเปล่าไปวัดเลย แม้ ณ ที่บ้านของมหาอุบาสิกาวิสาขานั่นเล่า ก็ได้ปูลาดอาสน์สงฆ์ไว้เป็นประจําถึงสองพันที่ ภิกษุสามเณรต้องการของเคี้ยวของฉันอะไร เมื่อไปถึงบ้านแล้ว เป็นอันได้สําเร็จสมดังความประสงค์
ในส่วนสร้างถาวรวัตถุปูชนียสถาน มหาอุบาสิกาวิสาขาได้บริจาคทรัยพ์สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งถวายสมเด็จพระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์ใกล้ ๆ ประตูพระนครสาวัตถีด้านทิศบูรพา ซึ่งมีชื่อว่า วัดบุพพารามมหาวิหาร การสร้างวัดนั้นเมื่อรวมทั้งค่าซื้อสถานที่ ค่าก่อสร้าง และทํางานฉลองวัดแล้ว สิ้นทรัพย์ไปถึง ๒๗ โกฏิ หรือ ๒๗๐ ล้าน เฉพาะกุฏิหลังใหญ่ ซึ่งเรียกว่า ปราสาทนั้น สร้างเป็น ๒ ชั้น ๆ หนึ่ง ๆ มี ห้องรวม ๕๐๐ ห้อง รวม ๒ ชั้น เป็นพันห้อง นอกจากตัวปราสาทแล้วยังสร้างสิ่งที่เป็นบริวารล้อมปราสาทอีก คือเรือนคน ๕๐๐ หลัง ปราสาทเล็ก ๆ ๕๐๐ หลัง โรงยาวอีก ๕๐๐ หลัง จงวาดมโนภาพดูเถิดว่า วัดบุพพารามครั้งนั้น จะกว้างใหญ่ไพศาลสักเพียงไร และจะสวยสดงดงามสักแค่ไหน คติแห่งการวางแผนผังสร้างวัดตามที่มหาอุบาสิกาวิสาขาสร้างมาครั้งนั้น โดยมีพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นผู้ดูแล การก่อสร้างอาจจะเป็นพระมหาเถระเป็นผู้ดําริออกแบบให้ก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี คติแห่งการสร้างวัดโดยกําหนดให้มีแผนผังอย่างนั้น ยังเป็นอุดมการติดสืบเนื่องมาให้เราได้เห็นภาพแผนผังสืบมาจนปัจจุบันทุกวันนี้ ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตกว้างขวางเท่าสมัยพุทธกาล แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นอุดมการสืบเป็นมรดกมาแต่ครั้งพุทธกาลโน้น ตัวอย่างเช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในกรุงเทพฯ พระมหานคร ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งรัตนโกสินทร์ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นผู้ทรงสร้างขึ้น ในบริเวณพุทธวาสของวัดพระเชตุพนนั้น มีพระอุโบสถตั้งอยู่ใจกลาง ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นปราสาท แล้วสร้างเป็นเรือนยาวล้อมรอบพระอุโบสถนั้น ๒ ชั้น ยกหลังคาขึ้นเป็นยอดปราสาทเป็นตอน ๆ แล้วมีศาลาทิศอยู่ในทิศทั้ง ๔ นอกออกมาอีกชั้นหนึ่งก็ศาลารายเรียงมาอยู่เป็นหลัง ๆ เป็นระยะ ๆ นอกออกมาอีกก็สร้างเป็นโรงยาวหักมุมตามมุมทิศน้อยทั้ง ๔ ที่เรียกกันว่า ศาลาคต ต่อจากนั้นจึงจะเป็นกําแพงล้อมรอบบริเวณพุทธาวาส เมื่อวาดมโนภาพดูภาพแผนผังวัดบุพพารามที่มหาอุบาสิกาวิสาขาสร้างในสมัยพุทธกาล ตามที่ปรากฏในนิทานนี้แล้ว ถึงจะไม่เหมือนกันหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ลักษณะส่วนใหญ่ก็มีอาการละม้ายคล้ายคลึงกัน ด้วยประการฉะนี้
อุดมการแผนผังแห่งการสร้างวัดในพระพุทธศาสนานี้นั้น มีลักษณะส่วนใหญ่ละม้ายคล้ายคลึงกัน นั้นไม่ใช่แต่เฉพาะในเมืองไทยเราเท่านั้น แม้ในประเทศอื่น ๆ เช่นประเทศพม่า ประเทศลังกา ก็มีส่วนสัดใหญ่ ๆ คล้ายคลึงกันอยู่ แม้จนชั้นที่สุดในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เช่นวัดในประเทศญี่ปุ่น วัดใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นวัดโบราณและมีความสําคัญนั้น ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันมากทีเดียว วัดใหญ่วัดหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นที่เมืองนาธา ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเมืองเกียวโตเท่าไรนัก ก็มีลักษณะส่วนสัดใหญ่ ๆ คล้ายกันกับของเรามาก มีพระวิหารใหญ่อยู่ใจกลาง ภายในพระวิหารนั้นมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่โตมากประดิษฐานอยู่ ล้อมรอบพระวิหารนั้นก็มีเรือนยาวเปิดหน้า ข้างหลังตัน เหมือนกับพระระเบียงอุโบสถของเรา คล้าย ๆ กับพระวิหารวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯ และมีประตูเข้าออก ๔ ประตู ในทิศทั้ง ๔ เหมือนกัน จากนั้นออกมาก็เป็นศาลาราย และกําแพงตามลําดับ สิ่งเหล่านี้แม้จะเป็นวัตถุไม่มีชีวิตจิตใจ แต่ก็สร้างขึ้นด้วยชีวิตจิตใจของนายช่าง และของคนใจบุญ ขึ้นชื่อว่า สภาวะที่แท้จริง คือ ความมีใจบุญของมนุษย์นั้น จะเป็นชาติใดภาษาใด และมีรูปร่างผิดแผกแตกต่างไปได้ตามธรรมชาติของดินฟ้าอากาศก็ตาม ส่วนจิตใจอันเป็นบุญเป็นมหากุศล และเป็นตัวนามธรรม และเป็นสัจธรรมนั้น ย่อมตรงกันเหมือนกันและเข้ากันได้ทุกกาลทุกสมัย และทั่วทุกมุมโลก ทั่วทุกจักรวาฬ โดยความจริงข้อนี้ ถ้ามนุษย์เรานี้ ถือใจอันเป็นบุญเป็นกุศลเข้าหากัน โดยไม่ยกเอาเชื้อชาติภาษาและตระกูลมาเป็นเครื่องกีดกันแล้ว ก็จะเป็นพี่น้องกันได้ทั่วทั้งโลกที่เดียว แต่ว่าการที่จะสอนคนทั้งโลกให้มีใจเป็นบุญเป็นกุศลนั้น เป็นสิ่งที่ทําได้ยากอย่างยิ่ง แม้แต่ในวงการแคบ ๆ เพียงวัดหนึ่งหรือบ้านหนึ่งเท่านั้น ก็เป็นสิ่งทําได้ยากพอดู ดังที่ปรากฏเห็นเป็นประจักษ์อยู่ในกาลทุกวันนี้
ส่วนในด้านสารธรรมที่เป็นคติเครื่องเตือนใจนั้นในท้องนิทาน ประการแรก ได้แสดงให้เห็นถึงความงามของสตรีผู้มีบุญ ๕ อย่าง เรียกว่า เบญจกัลยาณี คือ เกสกัลยาณี มีผมงาม ๑ มังสกัลยาณี มีริมฝีปากงาม ๑ อัฏฐิกัลยาณี มีฟันงาม ๑ ฉวิกัลยาณี มีผิวพรรณงาม ๑ วยกัลยาณี มีวัยงาม ๑ ผมงามนั้น คือเมื่อสยายออกแล้วผมจะห้อยตกลงไปถึงชายผ้านุ่ง แล้วมีปลายงอนตั้งขึ้นโดยธรรมชาติเอง ริมฝีปากงามนั้น คือสนิทชิดกันอย่างสม่ำเสมอ ไม่แบบาน หรือไม่สม่ำเสมอกันตามส่วน และมีสีแดงคล้าย ๆ ผลตําลึงสุก ฟันงามนั้น คือ ขาวเป็นมันเรียบสม่ำเสมอไม่โหว่หว่อง ไม่เกไปเกมา เหมือนแถวเพ็ชรที่ จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ หรือเหมือนแถวสังข์ที่ขัดติดดีแล้ว ผิวพรรณงาม คือผิวพรรณไม่มีริ้วรอยด้วยไฝฝ้า สําหรับสตรีผิวดําก็ดําสนิทเหมือนกลีบดอกบัวเขียว สําหรับสตรีผิวขาวก็ขาวเรียบ ๆ เหมือนกลีบดอกกัณณิกากี วัยงามนั้นคือ แม้จะคลอดบุตรแล้วตั้ง ๑๐ ครั้ง ก็ยังงามอยู่เหมือนเพียงคลอดครั้งเดียว ร่างกายไม่ทรุดโทรมไม่แก่น่าเกลียดจนตลอดอายุ ที่เรียกกันว่า ไม่รู้จักแก่ หรือแก่ยาก ผลเหล่านี้ย่อมสําเร็จมาแต่บุญทั้งนั้น ฉะนั้นจึงมิได้เฉพาะสตรีที่มีบุญเช่นมหาอุบาสิกาวิสาขาเป็นต้น
ประการที่ ๒ คน ๔ จําพวกวิ่งไม่งาม คือ พระราชา ๑ ช้าง ๑ บรรพชิต ๑ สตรี ๑ อธิบายว่า พระราชาที่ทรงราชาภิเษกแล้ว ทรงเครื่องพระมหากษัตริย์อย่างพร้อมสรรพ แล้วจะทรงถกเขมรวิ่งไปตามพระหน้าพระลานหลวงนั้น ย่อมไม่สง่างดงาม ย่อมจะได้รับข้อครหานินทาว่า อะไร พระราชาแท้ ๆ วิ่งไปเหมือนคหบดี แต่เมื่อค่อยเสด็จพระราชดําเนินไปอย่างปกติย่อมสง่างดงาม ช้างมงคลหัตถีของพระราชาที่ประดับตกแต่งเครื่องแล้ววิ่งไปก็ไม่งาม เมื่อเดินไปตามธรรมดาด้วยท่าทางของช้าง จึงงาม บรรพชิตคือ ภิกษุสามเณรอันเป็นที่เคารพนับถือของคฤหัสถ์ แต่ย่อมงดงามด้วยการเดินไปอย่างสงบเสงี่ยม สตรีทั้งหลายเมื่อวิ่งก็ย่อมไม่งาม จะต้องถูกครหานินทาว่า อะไรหญิงคนนี้วิ่งไปเหมือนอย่างผู้ชาย แต่ย่อม งดงามน่าดูด้วยการเดินไปอย่างปกติ ด้วยประการฉะนี้
ประการที่ ๓ โอวาท ๑๐ ข้อ ของธนัญชัยมหาเศรษฐีที่สอนนางวิสาขาก่อนแต่งจะส่งไปสู่ตระกูลสามี และเป็นข้อปฏิบัติอันสตรีทั้งหลายพึงถือเอามาเป็นแบบอย่างนั้น คือ ๑.ไฟในอย่านําออกไปข้างนอก ๒.ไฟนอกอย่านําเข้ามาข้างใน ๓. อย่าให้แก่คนที่ไม่ให้คืน ๔. จงให้แก่คนที่ให้คืน ๕. จงให้แก่คนทั้งที่ ให้คืนและไม่ให้คืน ๖.จึงนั่งให้เป็นสุข ๗. จึงรับประทานให้เป็นสุข ๘. พึงนอนให้เป็นสุข ๙. พึงบูชา ไฟ ๑๐. จึงไหว้เทวดา อธิบายว่า ความไม่ดีต่าง ๆ ย่อมทําให้เกิดความเดือดร้อนใจเหมือนกับไฟ จึงเรียกความไม่ดีนั้นว่าไฟ และโอวาทข้อที่ ๑ ที่ว่าไฟในอย่านําออกไปข้างนอกนั้น หมายความว่า หญิงสะใภ้อย่านําเอาความไม่ดีไม่งามต่างๆ เช่น เมื่อเจ้าได้เห็นโทษของมารดาบิดาของสามี และโทษของสามีของเจ้าแล้ว อย่าเอาไปนินทาข้างนอกตามบ้านนั้น ๆ เพราะขึ้นชื่อว่าไฟแล้วที่จะแรงร้ายเหมือนกับไฟชนิดนี้ย่อมไม่มี โอวาทข้อที่ ๒ ที่ว่า ไฟนอกอย่านําเข้ามาข้างในนั้น หมายความว่า เมื่อหญิงสะใภ้ไปได้ฟังคนภายนอกครหานินทาพ่อตัวแม่ผัวหรือสามีแล้ว อย่านําเอามาเล่าให้ฟัง เพราะเป็นเหมือนกับนําไฟเข้ามาเผาบ้านของตนเอง โอวาทข้อที่ ๓ ที่ว่า จงให้แก่คนที่ให้คืน นั้น หมายความว่า ถ้า ใคร ๆ ขอยืมทรัพย์สินหรือเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ ไปแล้ว นํามาใช้คืน จงให้แก่คนเช่นนั้นอีก โอวาทข้อที่ ๔ ที่ว่า อย่าให้แก่คนที่ไม่ให้คืนนั้น หมายความว่า ถ้าใคร ๆ ที่ขอยืมอะไร ๆ ไปแล้วไม่นํากลับคืนมาให้ ก็ อย่าให้แก่คนเช่นนั้นอีก โอวาทข้อที่ ๕ ที่ว่า จงให้แก่คนทั้งที่ให้คืนและไม่ให้คืนนั้น หมายความว่า ถ้ามีญาติพี่น้อง ซึ่งยากจนมาขอยืมอะไรไปแล้ว เขาจะให้คืนหรือไม่ให้คืนก็ตาม จงให้แก่ญาติพี่น้องเช่นนั้นอีก เพื่ออนุเคราะห์ด้วยเมตตากรุณา และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ญาติ โอวาทข้อที่ ๖ ที่ว่า พึงนั่งให้เป็นสุขนั้น หมายความว่า จงเลือกหาที่นั่งอันสมควรแก่ตน อย่าไปนั่งในที่ ๆ จะต้องลุกขึ้นบ่อย ๆ เพราะเห็นพ่อผัว แม่ผัวหรือสามี โอวาทข้อที่ ๗ ที่ว่า พึงรับประทานให้เป็นสุขนั้น หมายความว่า จงจัดแจงตกแต่งสิ่งที่จะต้องปฏิบัติพ่อผัวแม่ผัวและสามีให้แล้วเสร็จเสียก่อนแล้วจึงค่อยรับประทาน จะได้ไม่ต้องลุกไปจัดสิ่งโน้นแต่งสิ่งนี้ ในเวลาที่ตนรับประทาน โอวาทข้อที่ ๘ ที่ว่า พึงนอนให้เป็นสุขนั้น หมายความว่า อย่านอนก่อนพ่อผัวแม่ผัวและสามี จงจัดแจงหรือปรนนิบัติท่านเหล่านั้นให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ตนเองจึงนอนในภายหลัง โอวาทข้อที่ ๙ ที่ว่า พึงบูชาไฟนั้น หมายความว่า พึงเห็นพ่อผัวแม่ผัวและสามีเหมือนไฟหรือเหมือนงูพิษเป็นสิ่งที่ ไม่ควรประมาทดูหมิ่น ให้ระมัดระวังเจียมตนในท่านเหล่านั้นด้วยความเกรงกลัวและความเคารพ โอวาทข้อที่ ๑๐ ที่ว่า พึงบูชาเทวดานั้น หมายความว่า พึงเห็นพ่อผัวแม่ผัวและสามีเหมือนดังเทวดา คือเป็นบุคคลที่มีพระคุณสูงเหนือตนคล้าย ๆ เทวดา แล้วไม่ดูหมิ่นดูแคลน แสดงความเคารพกราบไหว้ เหมือนคนเคารพกราบไหว้เทวดา ด้วยประการฉะนี้
ประการที่ ๔ เครื่องประดับของสตรีที่มีชื่อว่า มหาลดาปสาธน์ ซึ่งมีราคาถึง ๙ โกฏิ ค่าแรงนายช่างอีก ๑ แสน นั้น สตรีที่จะได้มีเครื่องประดับเช่นนั้น ด้วยผลอานิสงส์ขั้นสุดยอดแห่งการถวายผ้า ไตรจีวร คือเป็นผลขั้นสูงสุดของการถวายไตรจีวรสําหรับสตรี ถ้าเป็นบุรุษแล้วก็ได้บาตรและไตรจีวรอันลอยมาเองด้วยบุญฤทธิ์ เช่น พระเบญจวัคคีย์ภิกษุทั้ง ๕ เป็นต้น ก็สตรีที่มีบุญถึงขนาดได้ใช้เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์สมัยนั้นมีเพียง ๓ คน คือ มหาอุบาสิกาวิสาขานี้ ๑ นางมัลลิกา ภริยาของพันธุลมัลลเสนาบดี ๑ ธิดาของเศรษฐีเมืองพาราณสี ๑ เท่านั้น
ประการที่ ๕ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงปรารภมหาอุบาสิกาวิสาขาให้เป็นเหตุ แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลายด้วยพระพุทธนิพนธสุภาษิตอันเป็นสารธรรมอย่างประเสริฐ ซึ่งมีข้อความสั้น ๆ ดังนี้ ๆ
ช่างดอกไม้ผู้ฉลาด พึงร้อยดอกไม้จากกองดอกไม้ให้เป็นพวงมาลัยเป็นอันมากแม้ฉันใด บุคคลผู้เกิดมาแล้วพึงบําเพ็ญกุศลไว้ให้มาก ๆ ฉันนั้น
ในพระธรรมเทศนาพุทธสุภาษิตนี้ มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ คําว่า กุศลในที่นี้ เป็นชื่อของจิตและเจตสิกอันเป็นบุญ โดยพยัญชนะ แปลว่า ธรรมชาติที่กําจัดบาปธรรมอันน่าเกลียด หรือ ธรรมชาติที่ตัดบาปธรรมอันนอนอยู่ในจิตสันดาน โดยอาการอันน่าเกลียด ซึ่งมีอรรถวิเคราะห์ว่า กุจฺฉิเต ปาปธมฺเม สลยติ วิทฺธํเสตีถิ กุสลํ กุจฺฉิเตน วา อากาเรน สยนฺตี กุสา เต กุเส ลุนาติ ฉินฺทตีติ กุสลํ แปลว่า ธรรมชาติใดย่อมกําจัดบาปธรรมอันน่าเกลียดทั้งหลาย ธรรมชาตินั้นชื่อว่า กุศล อีกอย่างหนึ่ง บาปธรรมเหล่าใดย่อมนอนอยู่ในจิตสันดานโดยอาการอันน่าเกลียด บาปธรรมเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นสภาพนอนอยู่ในจิตสันดานอันน่าเกลียด ซึ่งได้แก่ ความโลภ โกรธ หลง เป็นต้น ธรรมชาติใดย่อมตัดเสียซึ่งบาปธรรมอันนอนอยู่ในจิตสันดานโดยอาการอันน่าเกลียดเหล่านั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่ากุศล ดังนี้ อธิบายว่าคําว่า กุศล กับคําว่า บุญ โดยความหมายเป็นอันเดียวกัน การที่คนทําบุญทํากุศลนั้น ความมุ่งหมายโดยตรงก็เพื่อกําจัดหรือตัดออกซึ่งบาปธรรมอันน่าเกลียด ซึ่งซึมแทรกอยู่ในจิตสันดานคือ ความโลภ ความโกรธ และความหลงเป็นต้น เพราะความโลภ โกรธและหลงนี้ ไม่ใช่แต่มันแทรกซึมอยู่ในจิตสันดานของคนพาลเฉย ๆ แต่มันบันดาลให้แสดงอาการอันน่าเกลียดน่าชังออกมาทางกายและทางวาจาด้วย ถ้ามันได้ปัจจัยอุดหนุนอย่างรุนแรง มันก็สามารถบันดาลให้คนลงมือทําการสิ่งที่ไม่ควรทําให้พูดถ้อยคําที่ไม่ควรพูด ให้เห็นคนรัก เป็นศัตรู แล้วทําบาปกรรมอันหยาบคายร้ายกาจมีประการต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย เมื่อบุคคลทํากุศลชั้นกามาจจร เช่น ให้ทานรักษาศีลด้วยจิตเป็นกุศล จิตนั้นย่อมกําจัดหรือตัดความโลภให้หายไปด้วยอํานาจทั้งคปหาน คือกําจัดตัดกิเลศนั้นได้เป็นพัก ๆ เมื่อบุคคลทํากุศลชั้นรูปาวจร เช่น เจริญสมถกรรมฐานจนให้จิตเป็นสมาธิสําเร็จเป็นรูปาวจรกุศลจิต จิตนั้นย่อมกําจัดหรือตัดความโลภและความโกรธได้ด้วยวิกขัมธานปหาน คือกําจัดตัดกิเลสได้ในระยะยาวจนกว่าสมาธิจะเสื่อม ถ้าสมาธิจิตตั้งมั่นอยู่ตราบใด กิเลสบาปธรรมก็เกิดขึ้นในจิตสันดานไม่ได้อยู่ตราบนั้น เมื่อบุคคลทํากุศลชั้นโลกุตระ เริ่มต้นแต่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ทําให้วิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้นโดยลําดับ จนส่งให้อริยมรรคปัญญาเกิดขึ้นในที่สุด จิตสําเร็จเป็นโลกุตระกุศลจิตได้พระนิพพานเป็นอารมณ์ จิตนั้นย่อมกําจัดหรือตัด ความโลภ ความโกรธ ความหลง อันเป็นบาปธรรมได้ด้วยสมุจเฉทปหาน คือกําจัดตัดกิเลสได้เด็ดขาด ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป นี้เป็นผลแห่งการบําเพ็ญกุศลโดยตรง ส่วนผลโดยอ้อมหรือที่เรียกว่าผลพลอยได้นั้น คนผู้บําเพ็ญกุศลไว้ มาก ๆ นั้น ถ้ายังจะเกิดในชาติในภพใด ๆ ก็ย่อมเกิดเป็นคนมีบุญ รูปร่างก็สวยสดงดงาม จิตใจก็เป็นบุญกุศล เป็นร่มโพธิ์ทองของคนเป็นอันมาก และพร้อมมูลบริบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สมบัติบริวารเป็นต้น เหมือนตัวอย่างมหาอุบาสิกาวิสาขาในนิทานเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสสอนว่า เกิดมาเป็นคนแล้ว อย่าประมาทหลงไหลอยู่แต่ในลาภยศ สรรเสริญสุข เพราะสิ่งเหล่านั้นเอาติดตามตนไปไม่ได้ในอีกโลก นอกจากบุญกุศลเท่านั้น จึงจึงหาโอกาสเร่งทําบุญมีประการต่าง ๆ ไว้ให้มาก เหมือนนายช่างดอกไม้ผู้ฉลาดและมีความขยัน เขาย่อมทําดอกไม้ให้เป็นพวงมาลัยไว้ขายเป็นอันมากฉันใด คนเราที่เกิดมาแล้วในโลกนี้ ก็อย่าประมาทพึงบําเพ็ญบุญกุศลไว้สําหรับเป็นที่พึ่งของตนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ฉันนั้น ซึ่งมีอรรถาธิบายดังรับประทานวิสัชนามาด้วยประการฉะนี้ เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:มหาอุบาสิกาวิสาขา กัณฑ์ที่ ๓
พระธรรมบทเทศนา พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา (๔) เรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขา [๔๐ ] กัณฑ์ที่ ๓ ------------------------------------- นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา กยิรา มาลาคุเณ พหู เอวํ ชาเตน มจฺเจน กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุนฺติ
อนุสนธิพระธรรมเทศนา ณ บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนา เรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขา กัณฑ์ที่ ๓ โดยอนุสนธิสืบเนื่องมาจากกัณฑ์ที่ ๒ ซึ่งได้วิสัชนามาแล้ว เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธีส่วนธรรมสวนมัยสืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า –
สมฺมาสมฺพุทฺเธ ปน ธมฺมํ เทเสนฺเต - ก็แลเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่นั้น คนที่อยู่ข้างหน้าก็ดี คนที่อยู่ข้างหลังก็ดี คนที่อยู่ไกลร้อยจักรวาฬ พันจักรวาฬก็ดี เทวดาที่อยู่บนพรหมโลกชั้นอกนิฏฐภพก็ดี ต่างก็พูดว่า พระบรมศาสดาทรงมองดูเรา นั่นเทียว พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมแก่เรา นั่นเทียว เพราะว่าสมเด็จพระบรมศาสดานั้นย่อมเป็นเสมือนทรงมองดูเราอยู่ ซึ่งบุคคลนั้น ๆ ย่อมเป็นเสมือนทรงเจรจาปราศรัยอยู่กับบุคคลนั้น ๆ ได้ยินว่าธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเหมือนดังพระจันทร์ พระจันทร์ลอยอยู่บนท่ามกลางฟ้าย่อมปรากฏแก่คนทุกคนว่า พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา ดังนี้ ฉันใด พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมปรากฏเป็นเหมือนประทับอยู่เฉพาะหน้าของพุทธบริษัททั้งหลาย ซึ่งอยู่ ณ ที่ใด ๆ ก็ตาม ฉันนั้น ได้ยินว่า ข้อนี้เป็นผลของทานบารมีที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทรงตัดพระเศียรที่ตบแต่งแล้ว ทรงควักลูกตาที่หยอดล้างดีแล้ว ทรงควักเนื้อหัวใจให้เป็นทาน และทรงเสียสละพระโอรสทั้งหลาย เช่น พระชาลีกุมาร ทรงเสียสละพระธิดาทั้งหลาย เช่น พระนางกัณหาชินา ทรงเสียสละพระชายาทั้งหลาย เช่น พระนางมัทรี ให้เป็นทาสของคนอื่น ฝ่ายมิคารเศรษฐี เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงยักย้ายเปลี่ยนแปลงแสดงพระธรรมเทศนาไปทั้ง ๆ ที่ นั่งอยู่ข้างนอกม่าน นั่นแล ได้ดํารงอยู่ในโสดาปัตติผลอันประดับด้วยนัยพันหนึ่ง ประกอบด้วยศรัทธาอันมั่นคง หมดความสงสัยในพระรัตนะทั้ง ๓ ยกชายม่านขึ้นแล้วเข้าไปคาบถันของนางวิสาขาผู้สะใภ้ด้วยปาก แล้วตั้งนางวิสาขาไว้ในฐานะแห่งมารดาว่า “ เจ้าจงเป็นมารดาของพ่อนับตั้งแต่วันนี้ไป “ จําเดิมตั้งแต่กาลนั้นมา นางวิสาขาได้เกิดมีนามขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า “ มิคารมารดา ” ต่อมาภายหลังนางได้บุตรชายก็ได้ตั้ง ชื่อบุตรนั้นว่า “ มิคาระ ” ด้วยประการฉะนี้
มิคารเสฏฺฐิ สุณิสาย ถนํ วิสฺสชเชตฺวา - ครั้งนั้น มิคารเศรษฐีปล่อยถันของลูกสะใภ้แล้ว ไปหมอบลงด้วยเศียรที่พระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้า พลางเอามือทั้งสองลูบคลําพระบาทพลางเอาปากจูบ แล้วประกาศชื่อของตนขึ้น ๓ ครั้งว่า “ ข้าพระพุทธเจ้าชื่อมิคาระ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าชื่อมิคาระ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าชื่อมิคาระ พระพุทธเจ้าข้า “ แล้วกราบทูลว่า “ ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์ ! ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่าให้ทานที่ไหนมีผลมากมาตลอดถึงเท่านี้ บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบแล้วเพราะอาศัยลูกสะใภ้ ข้าพระพุทธเจ้า นับว่าได้รอดพ้นแล้วจากทุกข์ในอบายทั้งปวง เมื่อลูกสะใภ้ของข้าพระพุทธเจ้ามาสู่บ้านนี้ ชื่อว่าเขามาเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขของข้าพระพุทธเจ้าแท้ ๆ “ ครั้นแล้วมิคารเศรษฐีได้กล่าวคําที่ประพันธ์เป็นคาถา ดังนี้
โสหํ อชฺช ปชานามิ ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลํ อตฺถาย วต เม ภทฺทา สุณิสา ฆรมาคตา
ข้าพระพุทธเจ้านั้น เพิ่งจะได้ทราบวันนี้เองว่าทานที่ให้แล้วในที่ไหนมีผลมาก ศรีสะใภ้คนดีเขามาสู่เรือนนี้ เพื่อประโยชน์ของข้าพระพุทธเจ้าโดยแท้
วิสาขา ปุนทิวสตฺถายปิ - ส่วนนางวิสาขาได้กราบทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดา เพื่อเสวยภัตตาหารในวันรุ่งขึ้นอีก ฝ่ายมารดาของสามีก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล สําเร็จเป็นพระโสดาบันอริยบุคคลแม้ในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง จําเดิมตั้งแต่นั้นมาบ้านของมิคารเศรษฐีนั้นก็ได้เปิดประตูให้แก่พระศาสนา ครั้งนั้นมิคารเศรษฐีดําริว่า ศรีสะใภ้มีอุปการะแก่เรามาก เราจักสร้างของขวัญให้แก่เธอสักอย่างหนึ่ง ก็เครื่องประดับของเธอนั้นหนักมาก ไม่สามารถจะใช้ประดับได้ทุกกาลทุกเวลา เราจักให้นายช่างทําเครื่องประดับอย่างเบา ๆ ให้แก่เธอ ซึ่งควรที่จะประดับได้ทุก ๆ อิริยาบถทั้งกลางวันและกลางคืน ครั้น แล้วก็ได้ให้นายช่างนําเครื่องประดับชื่อ “ ฆนมัฏฐกะ “ มีราคาแสนหนึ่ง เมื่อเครื่องประดับนั้นสําเร็จแล้วได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประธานไปฉันภัตตาหารเลี้ยงดูโดยเคารพ เสร็จแล้วจึงให้นางวิสาขาสรงน้ำ ด้วยน้ำหอม ๑๖ หม้อ เสร็จแล้วให้มายืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระบรมศาสดา ประดับเครื่องประดับให้แล้วให้กราบถวายบังคมสมเด็จพระบรมศาสดา ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดาทรงทําอนุโมทนาแล้วก็เสด็จกลับไปพระวิหาร นั่นเทียว จําเดิมแต่นั้นมา แม้นางวิสาขาก็ได้บําเพ็ญบุญนานาประการมีทานเป็นต้น ได้รับพร ๘ ประการ ( พร ๘ อย่าง ดูในวินัยมหาวรรค ) จากสํานักสมเด็จพระบรมศาสดาปรากฏอยู่เป็นดุจว่าดวงจันทร์ในท้องฟ้า ถึงซึ่งความเจริญงอกงามด้วยบุตรและธิดาทั้งหลาย ได้ยินว่านางวิสาขานั้นมีบุตร ๑๐ คน มีธิดา ๑๐ คน ในบรรดาบุตรและธิดาเหล่านั้น คนหนึ่ง ๆ มีบุตรคนละ ๑๐ ๆ และมีธิดาคนละ ๑๐ ๆ แม้ในบรรดาหลานเหล่านั้น หลานคนหนึ่ง ๆ ก็มีบุตรคนละ ๑๐ ๆ และมีธิดาคนละ ๑๐ ๆ เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นนางวิสาขานั้นจึงมีบุตร มีหลาน และมีเหลนสืบเนื่องกันต่อ ๆ ไป รวมกันเป็น ๘,๔๒๐ คน ด้วยประการอย่างนี้ ด้วยเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงได้กล่าวประพันธคาถาไว้ดังนี้
วิสาขา วีสติ ปุตฺตา นตฺตา จ จตุโร สตา ปนตฺตา อฏฺฐสหสฺสา ชมฺพุทีเป สุปาถฏา
นางวิสาขานั้นปรากฏขจรไปในชมพูทวีปว่ามีบุตร ๒๐ คน หลาน ๔๐๐ คน และเหลน ๘,๐๐๐ คน
ส่วนตัวนางวิสาขานั้นได้ดํารงชีวิตอยู่ถึง ๑๒๐ ปี ผมที่ศีรษะแม้สักเส้นหนึ่งก็ไม่มีหงอก ได้เป็นเหมือนสตรีอายุย่างเข้า ๑๖ ปี อยู่ตลอดกาลเป็นนิจ คนทั้งหลายเห็นนางวิสาขามีบุตรหลานเหลนเป็นบริวารเดินไปวัดแล้วถามกันว่า สตรีเหล่านั้นคนไหนเป็นนางวิสาขา คนเหล่าใดได้เห็นนางวิสาขากําลังเดินไปอยู่ คนเหล่านั้นต่างก็พากันนึกว่า ขอจงเดินไปสักประเดี๋ยวหน่อยเถิด แม่เจ้าของเราช่างเดินงามเสียจริงๆ คนเหล่าใดได้เห็นนางวิสาขายืน นั่ง นอน คนเหล่านั้นต่างก็พากันนึกว่า ขอให้จงยืนนั่งนอนสักประเดี๋ยวหน่อยเถิด แม่เจ้าของเราช่างยืนนั่งนอนงามเสียจริง ๆ นางวิสาขานั้นไม่มีใครเลยที่จะตําหนิว่าอิริยาบถทั้ง ๔ ไม่งามในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง ด้วยประการดังนี้ อนึ่งนางวิสาขานั้น ย่อมทรงกําลังเท่ากับกําลังช้าง ๕ เชือกแล พระราชาได้ทรงทราบข่าวมาว่า นางวิสาขาทรงไว้ซึ่งกําลังเท่ากับกําลังช้าง ๕ เชือก ทรงมีพระราชประสงค์จะทรงทดลองดูกําลังเวลาที่นางไปวัดฟังธรรมแล้วกลับมา จึงทรงรับสั่งให้ปล่อยช้างไปใส่ ช้างนั้นได้ชูงวงขึ้นตรงหน้าไปหานางวิสาขาทันที สตรีบริวารของนางวิสาขา ๕๐๐ คน บางจําพวกพากันหลบหนีเอาตัวรอดไป บางจําพวกไม่ยอมทอดทิ้งนางวิสาขา เมื่อนางวิสาขาถามว่านี้มันเป็นเรื่องอะไรกัน สตรีบริวารเรียนว่า - คุณแม่เจ้าขาได้ทราบว่าพระราชาทรงมีพระราชประสงค์จะทรงทดลองดูกําลังของคุณแม่ จึงทรงรับสั่งให้ปล่อยช้างมาใส่ - นางวิสาขาจึงคิดว่า จะหลบหนีไปธุระอะไรเพราะเห็นช้างนี้ เราจักจับมันอย่างไรดีหนอ พิจารณาเห็นว่า ถ้าเราจักจับมันให้แน่น ๆ มันก็จะพึงพินาศไปเสียเท่านั้น ครั้นแล้วจึงเอานิ้วมือ ๒ นิ้ว จับงวงแล้วดันไป ช้างก็ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ เขย่งเท้าล้มลงที่พระลานหลวง นั่นเอง. มหาชนได้พากันร้องซ้องสาธุการ ฝ่ายนางวิสาขาพร้อมทั้งบริวารก็ได้กลับไปถึงบ้านโดยสวัสดี ด้วยประการฉะนี้
เตน โข ปน สมเยน - ก็โดยสมัยนั้นแล นางวิสาขามิคารมารดาเป็นผู้มีบุตรมาก มีหลานเหลนมาก บุตรหลานเหลนปราศจากโรคาพยาธิ ยกย่องกันว่าเป็นมิ่งมงคลในพระนครสาวัตถี บรรดาบุตรหลานเหลนจํานวนมากหลายถึงปานนั้น แม้เพียงคนเดียวที่ได้ถึงซึ่งมรณกรรมไปในระหว่างแห่งอายุมิได้มีเลย ในงานพิธีมงคลทั้งหลาย ชาวพระนครสาวัตถีย่อมพากันเชื้อเชิญนางวิสาขาไปรับประทานเลี้ยงเป็นคนแรก อยู่มาในวันงานมหรสพครั้งหนึ่ง เมื่อมหาชน ซึ่งประดับตบแต่งตนไปวัดเพื่อจะฟังธรรม แม้นางวิสาขารับประทานอาหารในที่เชื้อเชิญเสร็จแล้ว ก็ประดับเครื่องมหาลดาปสาธณ์ไปวัดพร้อมกับมหาชน ได้ปลดเครื่องประดับออกเอาผ้าห่มมาห่อแล้วมอบให้สาวใช้ไว้ คํานี้สมด้วยพระบาลีที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ในคัมภีร์วินัยมหาวิภังค์ว่า –
* ก็โดยสมัยนั้นแล ที่พระนครสาวัตถีมีงานมหรสพ คนทั้งหลายประดับ ตบแต่งตนแล้ว ก็พากันไปยังพระอาราม แม้นางวิสาขา มิคารมารดา ประดับตบแต่งตนแล้วก็ไปยังพระวิหาร ครั้งนั้นแล นางวิสาขามิคาร มารดาปลดเครื่องประดับออกแล้ว เอาผ้าห่มห่อแล้วมอบให้สาวใช้ พร้อมกับสั่งว่า นี่แน่เธอจงรับเอาห่อนี้ไว้
สา กิร วิหารํ คจฺฉนฺตี - ได้ยินว่า นางวิสาขานั้น เมื่อไปพระวิหารได้คิดว่า การที่เราสวมเครื่องประดับอันมีค่ามากเห็นปานนี้ไว้บนศีรษะ แล้วประดับเครื่องประดับคลุมจนตลอดถึงหลังเท้าเข้าไปสู่พระวิหารนั้น ย่อมไม่สมควร ดังนี้แล้วจึงปลดเครื่องประดับนั้นออกห่อแล้วเอาวางใส่มือให้สาวใช้ ซึ่งทรงกําลังเท่าช้าง ๕ เชือก ที่เกิดมาด้วยบุญของตนนั่นเทียว สาวใช้คนนั้นเท่านั้นย่อมสามารถรับเครื่องประดับนั้นได้ ด้วยเหตุนั้น นางวิสาขาจึงได้บอกกับสาวใช้คนนั้นว่า “ นี่แน่เธอ จงรับเอาเครื่องประดับนี้ไว้ ฉันจักประดับมันในเวลาที่กลับออกไปจากสํานักของสมเด็จพระบรมศาสดา “ ก็แล ครั้นนางวิสาขาให้เครื่องประดับนั้นแก่สาวใช้แล้ว จึงประดับเครื่องประดับที่ชื่อฆนมัฏฐกะแทน แล้วเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาฟังพระธรรมเทศนา เวลาจบพระธรรมเทศนากราบถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วก็ลุกขึ้นจากอาสนะไป ฝ่ายสาวใช้ของนางวิสาขานั้นได้ลืมเครื่องประดับนั้นไว้ ก็โดยปกตินั้น เมื่อพุทธบริษัทฟังพระธรรมเทศนากลับไปแล้ว ถ้ามีใคร ๆ ลืมสิ่งของอะไรไว้ พระอานันทเถระย่อมเก็บสิ่งของนั้นไว้เสมอ เพราะฉะนั้นในวันนั้นพระอานันทเถระเห็นเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์แล้ว จึงกราบทูลแด่สมเด็จพระบรมศาสดาให้ทรงทราบว่า “ พระพุทธเจ้าข้า นางวิสาขาลืมเครื่องประดับไว้กลับไปแล้ว “ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรับสั่งแก่พระอานันทเถระว่า “ เธอจงเอาไปเก็บไว้ ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่งเสีย อานันทะ “ พระเถระจึงได้ยกเอาเครื่องประดับนั้นไปพาดห้อยไว้ตรงที่ข้างบันได ด้วยประการฉะนี้
วิสาขาปิ สุปฺปิยาย สทฺธี – ฝ่ายนางวิสาขาพร้อมด้วยนางสุปปิยาพากันเดินเที่ยวไปภายในวัดด้วยตั้งใจว่า จักได้ทราบสิ่งที่ควรปฏิบัติแก่ภิกษุอาคันตุกะ ภิกษุเตรียมจะเดินทาง และภิกษุอาพาธเป็นต้น ก็โดยปกตินั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายที่มีความต้องการเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำมัน เป็นต้น เห็นอุบาสิกาเหล่านั้นแล้ว ย่อมพากันถือเอาญาติเป็นต้นแล้วเข้าไปหา แม้ในวันนั้นภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายก็ได้พากันกระทําเหมือนอย่างนั้นนั่นแล ครั้งนั้น นางสุปปิยาเห็นภิกษุอาพาธรูปหนึ่ง แล้วเรียนถามว่า “ พระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการอะไรเจ้าข้า “ เมื่อภิกษุนั้นตอบว่า “ ต้องการวัตถุอันปกปิด “ อุบาสิกาจึงเรียนรับปากว่า “ ได้เจ้าข้า ดิฉันจักจัดส่งมาถวาย “ ครั้นถึงวันที่สองนางสุปปิยาหามังสะอันสมควรไม่ได้ จึงเชือดเอาเนื้อขาของตนแทน และด้วยความเลื่อมใสในพระบรมศาสดา สรีระกายก็กลับเป็นปกติดังเดิมอีกนั่นเทียว ฝ่ายนางวิสาขาครั้นตรวจดูภิกษุหนุ่มและสามเณรผู้อาพาธทั้งหลายเสร็จแล้ว ก็ออกจากวิหารไปทางประตูอีกประตูหนึ่ง ขณะที่ยืนอยู่ที่อุปจาระแห่งพระวิหารได้บอกแก่สาวใช้ว่า “ แม่จ๋า จงเอาเครื่องประดับมา ฉันจักประดับ “ ขณะนั้นสาวใช้คนนั้นจึงรู้สึกตัวว่า ตนได้ลืมเครื่องประดับไว้มาแต่ตนเปล่า จึงเรียนนางวิสาขาว่า “ คุณแม่เจ้าคะ ดิฉันลืมเสียแล้ว “ นางวิสาขาจึงสั่งสาวใช้ว่า “ ถ้าเช่นนั้นเธอจงกลับไปเอามา แต่ถ้าพระผู้เป็นเจ้าอานันทเถระของเรา ยกเอาไปเก็บไว้ที่อื่นแล้ว เธอจงอย่าเอามานะ ฉันบริจาคเครื่องประดับนั้นถวายพระผู้เป็นเจ้าเด็ดขาดเลย “ ได้ยินว่านางวิสาขานั้นย่อมทราบอยู่ดีว่าพระเถระย่อมเก็บสิ่งของที่คนทั้งหลายลืมไว้ เพราะฉะนั้นจึงได้สั่งสาวใช้อย่างนั้น ฝ่ายพระเถระพอเห็นสาวใช้นั้นก็ถามว่า “ เธอกลับมาทําไม “ เมื่อสาวใช้เรียนว่า “ ดิฉันลืมเครื่องประดับของคุณแม่ไว้ จึงกลับมา เจ้าข้า “ ก็บอกว่า “ ฉันเก็บไว้ที่ข้างบันไดนั่น จงเอาไปเสีย “ สาวใช้นั้นได้กราบเรียนพระเถระว่า “ ท่านเจ้าคะ สิ่งของที่พระคุณเจ้าจับต้องแล้วด้วยมือ คุณแม่ของดิฉันไม่ให้นํากลับคืนไป “ ครั้นแล้วก็กลับไปตัวเปล่า เมื่อนางวิสาขาถามว่า “ ว่าอย่างไรแม่ ? “ เธอก็ได้เรียนความนั้นให้ทราบ นางวิสาขาได้สั่งสาวใช้อีกว่า “ แม่จ๋า ฉันจักไม่ประดับสิ่งของที่พระผู้เป็นเจ้าของฉันจับต้องแล้ว ฉันสละถวายเลย แต่ว่าจะเป็นการลําบาก เพื่อที่จะรักษาแก่พระผู้เป็นเจ้า ฉันจักจําหน่ายเครื่องประดับนั้นแล้ว จึงจักนําเอาสิ่งที่สมควรไปถวาย เธอจงกลับไปเอาเครื่องประดับนั้นมาเสียก่อน “ สาวใช้จึงได้กลับไปเอาเครื่องประดับนั้นมา ส่วนนางวิสาขาไม่ยอมจะประดับเครื่องประดับนั้นแล้ว จึงให้เชิญนายช่างทองทั้งหลายมาให้ตีราคาเครื่องประดับดู เมื่อนายช่างทั้งหลายที่ราคาว่า “ เครื่องประดับนี้ราคา ๙ โกฏิ กับค่าแรงทําอีกแสนหนึ่ง “ ดังนี้ จึงให้เอาเครื่องประดับขึ้นใส่ยานแล้วสั่งว่า “ ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงไปขายเครื่องประดับนั้นให้ด้วยเถิด “ ใคร ๆ ก็ไม่สามารถจะให้ทรัพย์มากถึงเพียงนั้นรับเอาเครื่องประดับไป เพราะสตรีทั้งหลายผู้สมควรจะประดับเครื่องประดับนั้นหาได้ยาก จริงอยู่ในพื้นปฐพีมณฑล สตรีได้เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์มีเพียง ๓ คนเท่านั้น คือ มหาอุบาสิกาวิสาขานี้ ๑ นางมัลลิกาภริยาของพันธุลมัลลเสนาบดี ๑ ธิดาของเศรษฐีเมืองพาราณสี ๑ ด้วยประการฉะนี้
ตสฺมา วิสาขา สยเมว - เพราะเหตุดังนั้น นางวิสาขาจึงจ่ายมูลค่าเครื่องประดับนั้นเสียด้วยตนเองนั่นแล แล้วเอาทรัพย์ ๙ โกฏิ หนึ่งแสนบรรทุกเกวียนนําไปสู่พระวิหาร กราบถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลว่า “ พระพุทธเจ้าข้า เครื่องประดับของหม่อมฉัน พระผู้เป็นเจ้าอานันทเดชะ ของหม่อมฉัน จับต้องแล้วด้วยหัตถ์ จําเดิมแต่กาลที่พระผู้เป็นเจ้าจับต้องแล้ว หม่อมฉันไม่กล้าที่จะประดับเครื่องประดับนั้นอีก หม่อมฉันได้ตกลงใจว่าจัดจําหน่ายแล้วนําเอาสิ่งอันสมควรมาน้อมถวาย เมื่อให้นายช่างไปจําหน่ายไม่เห็นใครอื่นที่จะกล้าซื้อเอาได้ หม่อมฉันเองจึงให้บันทึกเอามูลค่าของเครื่องประดับนั้นมา ในบรรดาปัจจัย ๔ จะน้อมมูลค่าเข้าไปในปัจจัยประเภทไหน พระพุทธเจ้าข้า “ สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัส แนะนําว่า “ การสร้างที่อยู่ถวายสงฆ์ใกล้ประตูด้านทิศปราจีนเป็นการสมควรสําหรับเธอ วิสาขา “ วิสาขามีความพอใจจึงกราบทูลว่า “ ตกลงพระพุทธเจ้าข้า “ แล้วได้ซื้อเฉพาะพื้นที่อย่างเดียวด้วยทรัพย์ จํานวน ๙ โกฏิ แล้วปรารภที่จะสร้างพระวิหารด้วยทรัพย์จํานวนอื่นอีก ๙ โกฏิ ด้วยประการฉะนี้
อเถกทิวสํ สตฺถา ปจฺจูสสมเย - อยู่มาวันหนึ่ง เวลาใกล้รุ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรวจดูหมู่สัตวโลกด้วยพระญาณ ได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยสมบัติของเศรษฐีบุตรชื่อภัททิยะ ซึ่งจุติลงมาจากเทวโลกแล้วมาบังเกิดในตระกูลเศรษฐีในภัททิยนคร ครั้นทรงเสวยภัตตาหารในบ้านของอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีเสร็จแล้ว ได้ทรงมุ่งหน้าตรงไปทางพระทวารด้านทิศอุดร ก็โดยปกตินั้น สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรับภิกษาหารที่บ้านของมหาอุบาสิกาวิสาขา แล้วก็เสด็จออกทางพระทวารด้านทักษิณทิศ ไปประทับพระอิริยาบถอยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร ทรงรับภิกษาหารที่บ้านของอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีแล้วก็เสด็จออกทางพระทวารด้านปราจีนทิศไปประทับพระอิริยาบถอยู่ ณ วัดบุพพารามมหาวิหาร พุทธบริษัททั้งหลายครั้นเห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จพระพุทธดําเนินมุ่งตรงไปสู่พระทวารด้านทิศอุดรแล้ว ย่อมรู้กันว่า พระพุทธองค์จักเสด็จหลีกไปสู่ที่จาริก วันนั้น แม้มหาอุบาสิกาวิสาขาพอได้ทราบว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จพระพุทธดําเนินมุ่งหน้าไปสู่พระทวารด้านทิศอุดร ก็รีบตามไปกราบถวายบังคม แล้วทูลถามว่า “ สมเด็จพระพุทธองค์จะเสด็จพระพุทธดําเนินไปสู่ที่จาริกหรือ พระพุทธเจ้าข้า “ สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสตอบว่า “ ถูกแล้ววิสาขา “ มหาอุบาสิกากราบทูลทัดทานว่า “ พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันได้บริจาคทรัพย์จํานวนเท่านี้ แล้วจะสร้างพระวิหารถวายสมเด็จพระพุทธองค์ ขอนิมนต์เสด็จกลับก่อนเถิด พระพุทธเจ้าข้า “ สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่า “ นี้เป็นการไปไม่กลับวิสาขา “ มหาอุบาสิกาจึงสันนิษฐานว่า “ พระผู้มีพระภาคเจ้าคงจะทรงทอดพระเนตรเห็นใคร ๆ ผู้ถึงพร้อมด้วยเหตุปัจจัยแล้วเป็นแน่ “ จึงกราบทูลว่า “ ถ้าเช่นนั้น ก็จงทรงพระกรุณาโปรดให้ภิกษุผู้รู้การงานว่าสิ่งใดทําสําเร็จ แล้วสิ่งได้ยังไม่สําเร็จกลับคืนไปให้แก่หม่อมฉันสักองค์หนึ่งเถิด พระพุทธเจ้าข้า “ สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่า “ เธอชอบใจภิกษุรูปใด ก็จงรับเอาบาตรของภิกษุรูปนั้นเถิด วิสาขา “ มหาอุบาสิกานั้นย่อมเคารพรักใคร่พระอานนทเถระอยู่ก็จริง แต่ได้พิจารณาเห็นว่า “ พระมหาโมคคัลลานเถระเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ การงานของเราถ้าได้อาศัยพระมหาโมคคัลลานเถระแล้ว ก็จักสําเร็จลงโดยเร็ว “ ดังนี้ จึงได้ขอรับเอาบาตรของพระมหาโมคคัลลานเถระ พระเถระมองดูสมเด็จพระบรมศาสดา สมเด็จพระพุทธองค์จึงตรัสอนุญาตว่า “ เธอจงพาภิกษุบริวารของเธอ ๕๐๐ รูป กลับคืนไปเถิดโมคคัลลานะ ที่นั้น พระเถระจึงได้ปฏิบัติตามพระพุทธบัญชา กลับคืนมาดูแลการก่อสร้างพระ วิหารของมหาอุบาสิกาวิสาขา ด้วยอานุภาพของพระมหาโมคคัลลานเถระนั้น คนทั้งหลายที่ไปเอาไม้เอาหินระยะทางตั้ง ๕๐-๖๐ โยชน์ ก็เอาไม้และหินขนาดใหญ่ ๆ กลับมาถึงได้ในวันนั้น นั่นเทียว ยกไม้และหินขึ้นบรรทุกเกวียนก็ไม่ลําบากเลย เพลาเกวียนก็ไม่มีหัก สร้างปราสาท ๒ ชั้น สําเร็จลงโดยไม่ทันนาน ปราสาทนั้นประกอบด้วยห้อง ๑,๐๐๐ ห้อง คือชั้นล่าง ๕๐๐ ห้อง ชั้นบน ๕๐๐ ห้อง ภาคพื้นที่ที่สร้างปราสาทนั้น สะอาดงดงามมีเนื้อที่ ๘ กรีส ( กรีสหนึ่งเท่า ๑๒๕ ศอก ) มหาอุบาสิกาวิสาขาดําริว่า ปราสาทล้วน ๆ นั้นย่อมไม่งดงาม ดังนั้นจึงให้สร้างเรือนประธาน ๕๐๐ หลัง ปราสาทเล็ก ๆ ๕๐๐ หลัง โรงยาว ๕๐๐ หลัง ล้อมปราสาทนั้น ด้วยประการฉะนี้
อถ สตฺถา นวหิ มาเสหิ จาริกํ จริตฺวา - ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ครั้นเสด็จพระพุทธดําเนินสู่ที่จาริกโดยกาล ๙ เดือน แล้วก็ได้เสด็จกลับมายังพระนครสาวัตถีอีก แม้การก่อสร้างปราสาทของมหาอุบาสิกาวิสาขาก็สําเร็จลงโดยเวลา ๙ เดือนเหมือนกัน ยอดแห่งปราสาทให้ทําด้วยทองคําสีสุกปลั่งหลอมเป็นแท่ง ทําเป็นที่สําหรับขังน้ำได้ถึง ๖๐ หม้อ มหาอุบาสิกาวิสาขาได้ทราบว่า สมเด็จพระบรมศาสดาจะเสด็จมาถึงพระเชตวันมหาวิหาร จึงไปทําการต้อนรับเสด็จ แล้วนําเสด็จพระพุทธองค์ไปยังวิหารของตนขอรับพระพุทธปฏิญาณว่า “ พระพุทธเจ้าข้า ขอสมเด็จพระพุทธองค์ทรงพระมหากรุณาพาภิกษุสงฆ์ประทับอยู่ ณ วิหารของหม่อมฉันนี้นั่นแล ตลอดเวลา ๔ เดือนนี้ หม่อมฉันจักทําการฉลองปราสาท ” สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรับอาราธนา จําเดิมแต่นั้น มหาอุบาสิกาได้ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระพุทธองค์เป็นประธานในวิหารของตนนั้นนั่นแล ครั้งนั้นมีหญิงสหายของมหาอุบาสิกาวิสาขาคนหนึ่ง ถือผ้าราคาแสนผืนหนึ่งมาแล้วถามว่า “ แม่สหายเอ๋ย ! ดิฉันมีความประสงค์จะปูลาดผ้าผืนนี้ไว้ในปราสาทของเธอ โดยเฉพาะให้เป็นผ้าปูลาดพื้น กรุณาบอกที่ปูลาดให้ดิฉันสักแห่งด้วย “ มหาอุบาสิกาตอบว่า “ สหาย ! ถ้าดิฉันจักบอกแก่เธอว่าไม่มีโอกาสที่จะปูลาด เธอก็จักเข้าใจผิดว่าดิฉันไม่ปรารถนาจะให้โอกาสแก่เธอ เธอจงไปตรวจดูพื้นปราสาททั้ง ๒ ชั้น ห้องพันห้อง แล้วรู้ที่จะปูลาดด้วยตนเองก็แล้วกัน “ หญิงสหายนั้น ถือเอาผ้าราคาแสนนั้นแล้วไปเที่ยวหาดูในที่นั้น ๆ ไม่เห็นผ้าที่มีราคาต่ำกว่าผ้าของตนนั้นเลย จึงเกิดความเสียใจว่า เราไม่ได้ส่วนบุญในปราสาทนี้ จึงได้ไปยืนร้องไห้อยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง ขณะนั้น พระอานันทเถระเห็นหญิงคนนั้นแล้วถามว่า “ ร้องไห้ทําไม ? “ หญิงนั้นก็เรียนความนั้นให้พระเถระทราบทุกประการ พระเถระจึงพูดปลอบใจว่า “ อย่าคิดมากไปเลย ฉันจักบอกที่ปูลาดให้เธอ “ แล้วแนะนําว่า “ จงเอาผ้านี้ไปปูลาดเป็นผ้าสําหรับเช็ดเท้าตรงที่สําหรับล้างเท้าใกล้ ๆ เชิงบันไดนั้นแน่ ภิกษุทั้งหลายล้างเท้าแล้วต้องเช็ดเท้า ณ ที่ตรงนั้นก่อน แล้วจักเข้าไปภายในปราสาท เมื่อเป็นอย่างนี้ผลอันยิ่งใหญ่ก็จักมีแก่เธอ “ ได้ยินว่าที่ตรงนั้นเป็นที่ๆ มหาอุบาสิกาลืมวางแผนการณ์ไว้ จึงยังเหลือว่างอยู่ ด้วยประการฉะนี้
วิสาขา จตฺตาโร มาเส อนฺโตวิหาเร - มหาอุบาสิกาวิสาขาได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีสมเด็จพระพุทธองค์เป็นประธานภายในวิหารตลอดกาล ๔ เดือน ครั้นถึงวันสุดท้ายได้ถวายผ้าจีวรทั้งหลายแด่ภิกษุสงฆ์ ผ้าจีวรที่ภิกษุผู้อ่อนในสงฆ์ได้ไปมีราคาถึงพัน และได้ถวายเภสัชเต็มบาตรแก่ภิกษุทั้งหลายโดยทั่วถึงกัน เฉพาะในการบริจาคทานนั้นได้ใช้สินทรัพย์ไปถึง ๙ โกฏิ มหาอุบาสิกาวิสาขาได้บริจาคทรัพย์ไว้ในพระพุทธศาสนารวมหมดทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒๗ โกฏิ หรือ ๒๗๐ ล้าน คือ จ่ายในการซื้อพื้นที่พระวิหาร ๙ โกฏิ ในการก่อสร้างพระวิหาร ๙ โกฏิ ในการฉลองพระอินทร์ ๙ โกฏิ ฉะนี้ การบริจาคอันยิ่งใหญ่เห็นปานนี้สําหรับสตรีอื่น ๆ ที่ดํารงอยู่ในสตรีเพศอาศัยอยู่ในเรือนของคนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีไม่ได้เลย ในวันที่ฉลองพระวิหารเสร็จแล้ว เวลาบ่าย มหาอุบาสิกาวิสาขาดีใจว่า สิ่งใด ๆ ที่เราปรารถนาไว้แล้วแต่ก่อน สิ่งนั้น ๆ ทั้งหมดได้ถึงขั้นสุดยอดแล้ว มีหมู่บุตรและหลานเหลนห้อมล้อมเดินเที่ยวไปรอบ ๆ ปราสาท พลางเปล่งอุทานด้วยสัททสําเนียงเสียงอันไพเราะ โดยคําประพันธ์เป็นคาถา ๕ คาถา ซึ่งข้อความว่าดังนี้
กทาหํ ปาสาทํ รมฺมํ สุธามตฺติกเลปนํ วิหารทานํ ทสฺสามิ สงฺกปฺโป มยฺห ปูริโต.
ความดําริของเราที่ว่า เมื่อไรจึงจักได้ถวายปราสาทอันน่ารื่นรมย์ ฉาบทาด้วยปูนขาวและดินเหนียว ให้เป็นวิหารทานดังนี้ ได้สําเร็จบริบูรณ์แล้ว
กทาหํ มญฺจปีฐญฺจ ภิสิพิมฺโพหนานิ จ เสนาสนภณฺฑํ ทสฺสามิ สงฺกปฺโป มยฺห ปูริโต.
ความดําริของเราที่ว่า เมื่อไรจึงจักได้ถวายเตียงตั่ง และฟูกหมอนทั้งหลาย ให้เป็นเสนาสนะภัณฑ์ดังนี้ ได้สําเร็จบริบูรณ์แล้ว
กทาหํ สลากภตฺตํ สุจึ มํสูปเสจนํ โภชนทานํ ทสฺสามิ สงฺกปฺโป มยฺห ปูริโต.
ความดําริของเราที่ว่า เมื่อไรเราจึงจักได้ถวายสลากภัต อันปรุงด้วยเนื้อ อันสะอาดให้เป็นโภชนทานดังนี้ ได้สําเร็จบริบูรณ์แล้ว
กทาหํ กาสิกวตฺถํ โขมกปฺปาสิกานิ จ จีวรทานํ ทสฺสามิ สงฺกปฺโป มยฺห ปูริโต.
ความดําริของเราที่ว่า เมื่อไรเราจึงจักได้ถวายผ้าเปลือกไม้และผ้าฝ้าย ซึ่งทําในแคว้นกาสี ให้เป็นจีวรทานดังนี้ ได้สําเร็จบริบูรณ์แล้ว
กทาหํ สปฺปินวนีตํ มธุเตสญฺจ ผาณิตํ เภสชฺชทานํ ทสฺสามิ สงฺกปฺโป มยฺห ปูริโน.
ความดําริของเราที่ว่า เมื่อไรเราจักได้ถวายเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย ให้เป็นเภสัชทานดังนี้ ได้สําเร็จบริบูรณ์แล้ว
แสดงพระธรรมเทศนามาในเรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขา กัณฑ์ที่ ๓ ยังไม่สุดสิ้นระบิลความ แต่เป็นการสมควรแก่เวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:มหาอุบาสิกาวิสาขา กัณฑ์ที่ ๒
พระธรรมบทเทศนา พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐถถา (๔) เรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขา [๔๐] กัณฑ์ที่ ๒ --------------------------- นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา กยิรา มาลาคุเณ พหู เอวํ ชาเตน มจฺเจน กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุนฺติ
อนุสนธิพระธรรมเทศนา ณ บัดนี้จะวิสัชนาพระธรรมเทศนา เรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขา กัณฑ์ที่ ๒ โดยอนุสนธิสืบเนื่องมาจากกัณฑ์ที่ ๑ ซึ่งได้วิสัชนามาแล้ว เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธี ส่วนธรรมสวนมัยสืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า –
กิสฺส ปน นิสฺสนฺเทน - มีคําถามสอดเข้ามาว่า นางวิสาขาได้เครื่องประดับนั้น ด้วยอานิสงส์แห่งบุญกรรมอะไร ?
วิสัชนาว่า - ได้ยินว่า ในศาสนาแห่งสมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า นางวิสาขานั้นได้ถวายผ้าจีวรกับทั้งด้ายเข็มและเครื่องย้อมผ้าอันเป็นสมบัติของตนแก่ภิกษุทั้งหลาย ๒๐ พันองค์ ด้วยอานิสงส์แห่งจีวรทานนั้น นางจึงได้เครื่องประดับนี้ จริงอย่างนั้น จีวรทานของสตรีทั้งหลายย่อมสําเร็จผลถึงขั้นสุดยอดด้วยได้เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ จีวรทานของบุรุษทั้งหลายย่อมสําเร็จผลถึงขั้นสุดยอดด้วยได้บาตรและจีวร อันสําเร็จด้วยฤทธิ์ ฉะนี้
เอวํ มหาเสฏฺฐิ - ธนัญชัยมหาเศรษฐี ครั้นทําการตระเตรียมเพื่อธิดาเสร็จลงแล้ว โดยเวลาถึง ๔ เดือนอย่างนี้แล้ว เมื่อจะให้เครื่องไทยธรรมแก่นางวิสาขา ได้ให้สมบัติต่าง ๆ ดังนี้ คือ กหาปณะเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะเงินเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองแดงเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะสัมฤทธิ์เต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน ผ้าด้ายและผ้าไหมเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน เนยใสเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน น้ำมันเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน น้ำอ้อยเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน ข้าวสารข้าวสาลีเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน และเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ มีไถและผาลเป็นต้น เต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน ได้ยินว่าท่านมหาเศรษฐีได้ดําริอย่างนี้ว่า ในสถานที่ที่ธิดาของเราไปอยู่แล้วนั้น เธออย่าได้ส่งคนไปบ้านของคนอื่นว่าฉันต้องการของสิ่ง สิ่งนั้น ๆ ดังนี้ เพราะฉะนั้น จึงได้จัดการให้เครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปอย่างพร้อมสรรพ และได้ให้รถ ๕๐๐ คัน บนรถคันหนึ่ง ๆ จัดสาวใช้รูปงามประดับแต่งตัวอย่างครบชุด ให้อยู่ประจําคันละ ๓ คน ให้สตรีสําหรับรับใช้ ๑,๕๐๐ คน พร้อมกับสั่งกําชับว่า “ พวกเจ้าจํานวนเท่านี้จงทําหน้าที่ให้ธิดาของเราอาบน้ำ พวกเจ้าจํานวนเท่านี้จงทําหน้าที่ให้ธิดาของเรารับประทาน พวกเจ้าจํานวนเท่านี้จงแต่งตัวให้ธิดาของเรา “ ถัดนั้นท่านมหาเศรษฐีดําริว่า จักต้องให้แม่โคทั้งหลายแก่ธิดาเราไปด้วย จึงได้สั่งชายฉกรรจ์ ๆ ทั้งหลายว่า “ พ่อพนายทั้งหลาย พวกเธอจงไปเปิดประตูคอกเล็กแล้วเอากลอง ๓ ใบ ไปยืนกันอยู่ในที่ ๓๐๐ เส้น ยืนกันอยู่ข้างทั้งสองในที่ประมาณ ๒๕ วา โดยกว้าง ห้ามอย่าให้แม่โคทั้งหลายเดินต่อไป แต่นั้น เวลาที่แม่โคทั้งหลายยืนอยู่แล้วอย่างนั้นจงมีสัญญาณกลองขึ้น “ พวกชายฉกรรจ์ทั้งหลายได้ปฏิบัติตามคําสั่งของท่านมหาเศรษฐีนั้น เมื่อเวลาแม่โคทั้งหลายออกจากคอกไปได้ ๑๐๐ เส้น ได้ตีสัญญานกลองขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อเวลาแม่โคทั้งหลายไปได้อีก ๒๐๐ เส้น ได้ตีสัญญาณกลองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเวลาแม่โคทั้งหลายไปได้ถึง ๓๐๐ เส้น ก็ได้มีสัญญาณกลองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และห้ามมิให้แม่โคทั้งหลายเดินต่อไปในด้านกว้างด้วย แม่โคทั้งหลายได้ยืนเบียดเสียดซึ่งกันและกันอยู่ในที่โดยยาว ๓๐๐ เส้น โดยกว้างประมาณ ๒๕ วา โดยอาการอย่างนี้
มหาเสฏฺฐิ มม ธีตุ เอตฺตกา คาโว - ฝ่ายมหาเศรษฐีได้สั่งให้ปิดประตูคอกว่า “ แม่โคทั้งหลายจํานวนเท่านี้ พอแล้วสําหรับธิดาของเรา พวกเธอจงปิดประตูคอกเสีย “ ก็ด้วยผลบุญของนางวิสาขาถึงจะได้ปิดประตูคอกแล้ว แม่โคกําลังและแม่โคนมทั้งหลายก็พากันกระโดดออกไป กระโดดออกไป เมื่อชายฉกรรจ์ทั้งหลายพากันห้ามกันอยู่ ห้ามกันอยู่ นั่นเทียว โคกําลัง ๖๐ พัน และแม่โคนม ๖๐ พัน ออกไปได้แล้ว พวกลูกโคกําลังก็ออกไปได้เท่านั้นเหมือนกัน โคอุสภะทั้งหลายก็พากันกระโดดติดตาม แม่โคนมเหล่านั้นไปด้วย
มีคําถามสอดเข้ามาว่า ก็ด้วยอานิสงส์แห่งบุญกรรมอะไร แม่โคทั้งหลาย จึงได้ไปแล้วอย่างนั้น ?
วิสัชนาว่า - ด้วยผลทานที่นางวิสาขาได้ถวายแล้วแก่ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายซึ่งห้ามอยู่ว่า พอแล้ว ๆ ในชาติก่อน ได้ยินว่า ในศาสนาของสมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า นางวิสาขานั้น ได้เกิดเป็นพระราชธิดาองค์เล็ก ในบรรดาพระราชธิดา ๗ องค์ ของพระเจ้ากิกี มีพระนามว่า พระนางสังฆทาสี เมื่อทรงถวายทานด้วยเบญจโครส ( นมโค ๕ ชนิด ) แก่ภิกษุ ๒๐ พันองค์นั้น แม้ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายจะได้ปิดบาตรแล้วห้ามอยู่ว่า พอแล้ว พอแล้ว พระนางก็ยังทรงถวายพร้อมกับทรงรับสั่งเร้าใจภิกษุสามเณรว่า “ ของนี้อร่อย ของนี้ชื่นใจ เจ้าค่ะ “ ด้วยอานิสงส์แห่งบุญกรรมนั้น แม่โคทั้งหลายเหล่านั้น แม้ถึงชายฉกรรจ์ทั้งหลายจะได้ห้ามกันไว้ ก็ได้กระโดดออกไปแล้ว ด้วยประการฉะนี้
เวลาที่ท่านมหาเศรษฐีได้ให้ทรัพย์สมบัติมากหลายถึงเท่านี้แก่ธิดาของตนแล้ว ภริยาของท่านมหาเศรษฐีจึงพูดเตือนว่า “ ทุกสิ่งทุกอย่างท่านก็ได้จัดแจงให้ธิดาของเราหมดแล้ว แต่คนใช้ชายหญิงที่จะช่วยทําการงาน ท่านมิได้จัดแจงแต่งให้ เพราะเหตุอะไรหรือ ? “ มหาเศรษฐีตอบว่า “ ที่มิได้จัดแจงแต่งให้นั้น เพื่อจะได้รู้คนรักและคนชังในธิดาของเรา เพราะฉันจะไม่บังคับจับคอคนที่ไม่อยากไป ส่งไปกับธิดาของเรา แต่ถึงเวลาที่จะขึ้นยานไปนั่นแหละ ฉันจึงจะประกาศว่า ใคร ๆ อยากจะไปกับธิดาของเราก็จงไปเถิด ใคร ๆ ไม่อยากไปก็จงอย่าไป ดังนี้ “
อถ เสวฺ มม ธีตา - ต่อมามหาเศรษฐีดําริว่า ธิดาของเราจักไปพรุ่งนี้แล้ว ขณะที่นั่งอยู่ในห้องได้เรียกธิดามานั่งใกล้ ๆ แล้วให้โอวาทว่า “ แม่หนู ! ธรรมดาสตรีที่อยู่ในตระกูลของสามี ควรที่จะรักษามารยาทอย่างนี้และอย่างนี้ “ ฝ่ายมิคารเศรษฐีแม้นั้นก็นั่งอยู่ในห้องถัดไป จึงได้ยินโอวาทของธนัญชัยเศรษฐีด้วย ส่วนธนัญชัยเศรษฐีให้โอวาทธิดามีข้อความว่าดังนี้
แม่หนู ! ธรรมดาสตรีที่อยู่ในตระกูลของมารดาบิดาสามีนั้น ไฟในไม่ควรนําไปข้างนอก ไฟนอกไม่ควรให้เข้ามาข้างใน ควรให้แก่คนที่ให้คืนเท่านั้น ไม่ควรให้แก่คนที่ไม่ให้คืน ควรให้ทั้งแก่คนที่ให้คืนทั้งแก่คนที่ไม่ให้คืน ควรนั่งให้เป็นสุข ควรรับประทานให้เป็นสุข ควรนอนให้เป็นสุข ควรบูชาไฟ ควรไหว้เทวดาภายใน
อิมํ ทสวิธํ โอวาทํ ทตฺวา - ท่านธนัญชัยเศรษฐีครั้นให้โอวาท ๑๐ ข้อนี้แก่ธิดาแล้ว วันรุ่งขึ้นได้เชิญหมู่เสนาทั้งปวงให้ประชุมกันแล้ว เชิญเอาคนชั้นกุฎมพี ๘ ท่านให้เป็นผู้รับประกันในท่ามกลางราชเสนา แล้วขอร้องไว้ว่า “ ถ้าความผิดจะเกิดขึ้นแก่ธิดาของข้าพเจ้า ณ สถานที่เขาไปอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลาย พึงชําระสะสาง “ ครั้นแล้วก็เอาเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์อันมีราคา ๙ โกฏิ ประดับธิดา ให้ทรัพย์สําหรับเป็นมูลค่าเครื่องจุณสําหรับอาบสรง จํานวน ๕๔ โกฏิ ให้อุ้มธิดาขึ้นสู่ยานแล้ว ให้ตีกลองประกาศไปในบ้านส่วย ๑๔ หมู่บ้าน ซึ่งมีประมาณเท่าเมืองอนุราธบุรี ( เมืองอนุราธบุรีอยู่ใน ประเทศลังกา หนังสือเรื่องนี้แต่งที่ลังกา ท่านผู้แต่งจึงได้เทียบเช่นนั้น ) อันเป็นสมบัติของคนอยู่โดยรอบเมืองสาเกตว่า “ ใคร ๆ มีความปรารถนาอยากจะไปกับธิดาของเราก็จงไปเถิด “ ชาวบ้านส่วย ๑๔ หมู่บ้านเหล่านั้น พอได้ฟังประกาศเช่นนั้น ต่างก็คิดว่า พวกเราจะมีประโยชน์อะไรในการอยู่ ณ ที่นี้ ในเมื่อคุณแม่เจ้าของพวกเราจะไปเสียแล้ว จึงพากันหลั่งไหลออกไปไม่เหลือใคร ๆ ไว้เลย ฝ่ายธนัญชัยเศรษฐี ทําการสักการะถวายแด่พระราชาและมิคารเศรษฐีแล้วตามส่งเสด็จเล็กน้อย แล้วก็ส่งธิดาไปพร้อมกับท่านอิสรชนเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้
มิคารเสฏฺฐิปิ สพฺพปจฺฉโต - ฝ่ายมิคารเศรษฐีนั่งยานไปข้างหลังของคนทั้งปวงได้เห็นหมู่พลนิกายเป็นอันมากแล้วจึงถามว่า “ คนทั้งหลายเหล่านี้ เป็นพวกไหนกัน ? “ คนอุปัฏฐากเรียนตอบว่า “ เป็นคนรับใช้ชายหญิงที่ช่วยทําการงานของสะใภ้ท่านทั้งนั้น “ มิคารเศรษฐีจึงสั่งว่า “ คนมากหลายถึงปานนี้ ใครจักเลี้ยงดูกันหวาดไหว พวกเธอจงช่วยกันโบยตีไล่ให้มันหนีไปเสีย พวกที่ไม่ยอมหนีไปก็จงลงอาญามันเสียแต่ตรงนี้เลย “ ส่วนนางวิสาขาได้พูดทัดทานว่า “ พวกท่านจงออกไปเสีย อย่ามาห้ามเขาเลย กําลังนั่นเองจักให้อาหารแก่กําลัง “ แม้ถึงนางวิสาขาจะได้พูดแล้วอย่างนี้ มิคารเศรษฐีก็ยังพูดอยู่ว่า “ แม่ หนู ! เราไม่ต้องการคนเหล่านี้ ใครจะเลี้ยงเขาหวาดไหว “ ครั้นแล้วก็สั่งให้โบยตีด้วยไม้ค้อนก้อนดินเป็นต้นให้หนีไป พาเอาแต่คนที่เหลือไป พลางพูดว่า “ เท่านี้พอดีแก่เราแล้ว “ ครั้งนั้นนางวิสาขาเมื่อเวลาไปถึงประตูเมืองสาวัตถี ได้คิดพิจารณาดูว่า เราจักนั่งในยานอันปกปิดเข้าไปดี หรือว่าจะยืนไปบนรถดีหนอ ครั้นแล้วนางได้ตกลงใจว่าเมื่อเราเข้าไปด้วยยานอันปกปิด ความวิเศษของเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ก็จักไม่ปรากฏแก่มหาชน นางจึงยืนบนรถแสดงตนให้ปรากฏแก่ชาวเมืองทั้งมวลเข้าไปสู่พระนคร คนชาวพระนครสาวัตถีทั้งหลาย ครั้นได้เห็นสมบัติของนางวิสาขาแล้ว ต่างก็พูดกันอย่างเซ็งแซ่ว่า “ ได้ยินว่า สตรีนั้นคือนางวิสาขา สมบัติเห็นปานนี้ช่างสมควรกับนางเสียจริง ๆ “ นางวิสาขาได้เข้าไปสู่เคหาสน์ของมิคารเศรษฐีด้วยสมบัติอันยิ่งใหญ่ ด้วยประการดังนี้
ก็ในวันที่นางวิสาขาไปถึงนั้น ชาวเมืองทั้งมวลได้ส่งของขวัญไปให้แก่นางวิสาขาตามสัตติกําลังของตน ด้วยนึกถึงพระคุณของท่านธนัญชัยเศรษฐีว่า ธนัญชัยเศรษฐีนั้น เมื่อพวกเราไปถึงนครของท่าน ท่านได้ทําการต้อนรับพวกเราอย่างยิ่งใหญ่ ส่วนนางวิสาขาได้สั่งให้ของขวัญที่ชาวพระนครส่งมา ๆ นั้น ให้เป็นประโยชน์ทั่วกันแก่ตระกูลอื่น ๆ ในพระนครนั้นนั่นเอง นางวิสาขานั้นส่งของขวัญไปให้พลางกล่าวด้วยถ้อยคําอันไพเราะเหมาะสมแก่วัยของคนรุ่นนั้น ๆ ว่า “ สิ่งนี้จงให้แก่คุณแม่ของเรา สิ่งนี้จึงให้แก่คุณพ่อของเรา สิ่งนี้จงให้แก่พี่ชายน้องชายของเรา สิ่งนี้จงให้แก่พี่สาวน้องสาวของเรา “ ได้ทําชาวพระนครทั้งสิ้นให้เป็นดุจหมู่ญาติ ด้วยประการดังนี้ ต่อมานางฟ้าอันเป็นแม่ม้าอาชาไนยของนางวิสาขาได้ตกลูกในเวลาถัดค่อนคืนไป นางวิสาขาจึงให้สาวใช้ทั้งหลายถือตะเกียงแล้วได้ไปดูที่แม่ฟ้าตกลูกนั้น สั่งให้เอาน้ำอุ่นรดแม่ฟ้า ให้ทาด้วยน้ำมัน แล้วจึงได้กลับไปสู่ที่อยู่ของตนนั่นแล
มิคารเสฏฺฐิปิ ปุตฺตสฺส อาวาหมงฺคลํ - ฝ่ายมิคารเศรษฐีนั้นเมื่อทํางานอาวาหมงคลของบุตร ก็มิได้สนใจถึงพระตถาคตเจ้า แม้เสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารใกล้ ๆ อันความรักที่ติดแน่นอยู่ในพวกสมณะเปลือยมานานกระตุ้นเตือนอยู่ วันหนึ่งได้ให้คนครัวหุงข้าวปายาสแข้นในภาชนะใหม่ ๆ หลายร้อยถาด ด้วยตั้งใจว่า เราจักทําการสักการะแม้แก่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ครั้นแล้วก็ให้นิมนต์พวกอเจลกะ คือ สมณะเปลือยไม่นุ่งห่มผ้ามา ๕๐๐ องค์ ให้เข้าไปในบ้านแล้วได้ส่งข่าวไปบอกแก่นางวิสาขาว่า “ ลูกสะใภ้ของเราจงมา จงไหว้พระอรหันต์ทั้งหลาย “ ส่วนนางวิสาขาเป็นอริยสาวิกาผู้โสดาบันบุคคล พอได้ยินคําว่า พระอรหันต์ ก็ดีอกดีใจ ได้มายังที่บริโภคของพวกอเจลกะเหล่านั้น แต่พอแลเห็นพวกอเจลกะ ก็คิดว่า คนที่ปราศจากหิริโอตตัปปะเห็นปานดังนี้ จะชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ท่านบิดาให้เรียกเรามาทําอะไรกัน ครั้นแล้วก็ครหาเศรษฐีว่า “ โธ่! โธ่! “ แล้วก็กลับไปที่อยู่ของตนเสีย พวกอเจลกะทั้งหลายทุกๆ องค์พอเห็นนางวิสาขาแสดงอาการดังนั้นแล้ว ก็พากันครหามิคารเศรษฐีเป็นเสียงเดียวว่า “ ท่านคฤหบดี ท่านหาสตรีอื่นไม่ได้แล้วหรือ ท่านพาเอาสตรีมหากาฬกัณณี ผู้เป็นสาวิกาพระสมณโคดมเข้ามาไว้ในบ้านนี้ จงให้ฉุดมันออกไปเสียจากบ้านนี้โดยเร็ว “ มิคารเศรษฐีดําริว่า เราไม่อาจที่ให้ฉุดสะใภ้ของเราออกไป ด้วยเหตุสักว่าคําแนะนําของพระผู้เป็นเจ้าเหล่านี้ สะใภ้ของเรานั้นเป็นธิดาของตระกูลใหญ่ แล้วจึงเรียนตอบพวกอเจลกะว่า “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ธรรมดาเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ นั้น พึงกระทําอะไรลงไป เพราะรู้บ้าง เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์บ้าง ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายนิ่งเฉย ๆ เสียเถิด “ ครั้นส่งพวกอเจลกะกลับไปแล้ว ตนเองก็นั่งเหนืออาสนะอันมีค่า รับประทานข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อยในถาดทองอยู่ ด้วยประการฉะนี้
ตสฺมึ สมเย เอโก ปิณฺฑจาริกตฺเถโร - เวลานั้นมีพระเถระผู้ถือเดินบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง เมื่อเดินไปบิณฑบาตได้เข้าไปสู่นิเวศน์นั้น นางวิสาขายืนพัดคุณพ่ออยู่ ได้เห็นพระเถระนั้นแล้วคิดว่า การที่เราจะบอกแก่คุณพ่อนั้นไม่สมควร จึงได้ยืนเลี่ยงไป พอที่เศรษฐีนั้นจะเห็นพระเถระได้เอง แต่เศรษฐีเป็นคนพาล แม้จะได้เห็นพระเถระแล้วก็ทําเป็นเหมือนไม่เห็น ก้มหน้ารับประทานเฉย ส่วนนางวิสาขาทราบว่า คุณพ่อของเราแม้จะได้เห็นพระเถระแล้ว ก็ไม่ทําความสําคัญอะไร จึงเรียนพระเถระว่า “ นิมนต์ไปข้างหน้าเถิด เจ้าข้า คุณพ่อของดิฉันท่านรับประทานของเก่า “ มิคารเศรษฐีนั้น แม้จะอดกลั้นไว้ได้ในคราวที่พวกนิครณฑ์บอกแล้ว แต่ในขณะที่นางวิสาขาพูดว่ารับประทานของเก่าคราวนี้ วางมือแล้วสั่งพวกคนใช้ว่า “ เอาข้าวปายาสนี้ไปเสียให้พ้นจากที่นี้ จงช่วยกันฉุดเอาแม่คนนี้ออกไปเสียจากบ้านนี้ แม่คนนี้มันว่าข้าเป็นคนกินของสกปรกในกาลอันเป็นมงคล เห็นปานนี้ ก็ในนิเวศน์นั้นแล “ ทาสและกรรมกรทั้งปวงเป็นคนของนางวิสาขาทั้งนั้น ย่อมไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้ ใครเล่าจักกล้าจับนางที่มือหรือที่เท้าได้ แม้แต่จะพูดด้วยปากก็ไม่มีใครสามารถ ส่วนนางวิสาขาครั้นได้ฟังถ้อยคําของบิดาสามีดังนั้น จึงเรียนชี้แจงว่า “ คุณพ่อเจ้าคะ ฉันจะยังไม่ออกไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ คุณพ่อมิได้นําดิฉันมาเหมือนอย่างนํานางกุมภทาสีมาจากท่าน้ำ ธรรมดาธิดาทั้งหลายของมารดาบิดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมไม่ยอมออกไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ นั่นเทียว ด้วยเหตุนี้นั่นเอง ท่านบิดาของดิฉันในเวลาที่ดิฉันจะมาอยู่ ณ ที่นี้ จึงได้เชิญท่านกุฎมพี ๘ ท่านมาแล้วสั่งไว้ว่า ถ้าความผิดจะเกิดขึ้นแก่ธิดาของข้าพเจ้า ขอให้ท่านทั้งหลายช่วยกันชําระสะสาง แล้วมอบดิฉันไว้ในเงื้อมมือของท่านกุฎมพีทั้ง ๘ นั้น คุณพ่อจงเชิญกุฎมพีเหล่านั้นมาให้ชําระความผิดของดิฉันซี เจ้าข้า “
เสฏฺฐิ กลฺยาณํ เอสา กเถติ - ฝ่ายมิคารเศรษฐี ได้ฟังคําชี้แจงของนางวิสาขาดังนั้นแล้ว สํานึกขึ้นมาได้ว่า แม่คนนี้มันพูดดีอยู่ จึงให้เชิญกุฎมพีทั้ง ๘ มาแล้ว ตั้งข้อหาขึ้นว่า “ ขณะที่ข้าพเจ้านั่งรับประทานข้าวปายาสแข้นในถาดทองในกาลอันเป็นมงคล แม่ทาริกาคนนี้มันว่าข้าพเจ้าว่าเป็นคนกินของสกปรก ขอให้ท่านทั้งหลายจงยกโทษของแม่ทาริกาคนนี้ขึ้นพิจารณา แล้วช่วยกันฉุดมันออกไปจากบ้านของข้าพเจ้านี้เสีย “ กุฎมพีทั้ง ๘ สอบถามนางวิสาขาว่า “ แม่หนู ! ได้ยินว่าเธอได้ทําอย่างนั้น จริงหรือ ? “ นางวิสาขาได้แถลงแก้ข้อหาว่า “ ดิฉันมิได้พูดอย่างนั้น เจ้าข้า แต่ว่าเมื่อพระเถระผู้ถือการเดินบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่งมายืนคอยอยู่ที่ประตูเรือน คุณพ่อของดิฉันรับประทานข้าวมธุปายาสแข้นเพลินอยู่ มิได้สนใจต่อพระเถระนั้น ดิฉันจึงคิดว่าคุณพ่อของเราไม่ทําบุญในอัตภาพนี้ รับประทานอยู่แต่บุญเก่าเท่านั้น แล้วได้เรียนพระเถระว่า นิมนต์ไปข้างหน้าเถิด เจ้าข้า คุณพ่อของดิฉันท่านรับประทานของเก่า ดังนี้ ดิฉันจะมีความผิดอะไรในเพราะเหตุนี้ เจ้าข้า “ กุฎมพีทั้ง ๘ ครั้นได้ฟังคําแถลงแก้ของนางวิสาขาแล้ว จึงเรียนแก่เศรษฐีว่า “ ท่านขอรับ ในเพราะเหตุนี้ไม่มีความผิดอะไร ธิดาของเราพูดถูกแล้ว ท่านจะไปโกรธเขาทําไม “ มิคารเศรษฐีได้ตั้งข้อหาขึ้นอีกว่า “ ท่านทั้งหลาย ! ความผิดข้อนั้นจงเป็นอันพ้นไปก่อน แต่ยังมีข้ออื่น คือ แม่ทาริกาคนนี้ ในเวลามัชฌิมยามวันหนึ่ง ได้มีหมู่หญิงคนใช้ห้อมล้อมไปทางหลังบ้าน ซึ่งเป็นอาการอันไม่สมควร “ กุฎมพีทั้ง ๘ ได้สอบถามนางวิสาขาว่า “ แม่หนู ! ได้ยินว่า เธอได้ทําอย่างนั้นจริงหรือ ? “ นางวิสาขาแถลงแก้ข้อหาว่า “ คุณพ่อทั้งหลาย ! ดิฉันมิได้ไปด้วยเหตุอย่างอื่นใด แต่ว่าเมื่อนางฟ้าซึ่งเป็นแม่ม้าอาชาไนยในบ้านนี้มันเกิดตกลูกขึ้น ดิฉันคิดว่า การที่จะนั่งเฉยเสียไม่เอาเป็นธุระอะไรเลยนั้นไม่สมควร จึงได้ให้คนใช้ถือตะเกียงเอาน้ำอุ่นเป็นต้น พร้อมกับพวกสาวใช้ไปให้เขา ช่วยกันทําการบริหารการตกลูกแก่แม่ฟ้านั้น ในเพราะเหตุนี้ ดิฉันจะมีความผิดอะไรเล่า เจ้าข้า “ กุฎมพีทั้ง ๘ ได้ฟังคําแถลงของนางวิสาขาแล้ว จึงเรียนแก่เศรษฐีว่า “ ท่านขอรับในเพราะเหตุนี้ไม่มีความผิดอะไร ธิดาของเราอุตส่าห์ทํางานสิ่งที่แม้แต่พวกสาวใช้ก็ไม่ต้องทําในบ้านของท่านเอง ท่านจะไปเพ่งโทษเขาอะไรในเพราะเหตุเช่นนี้ “
(๑) มิคารเศรษฐี ได้ฟังดังนั้นแล้วก็ยังไม่ยอมยุติลงเพียงเท่านั้น ยังตั้งข้อหาอีกต่อไปว่า “ ท่านทั้งหลาย แม้ในเพราะเหตุนี้จะไม่เป็นความผิด ก็ขอผ่านไปก่อน แต่บิดาของแม่ทาริกานี้ เมื่อโอวาทสั่งสอนเขาในเวลาที่จะมา ณ ที่นี้นั้น ได้ให้โอวาท ๑๐ ข้อ ซึ่งล้วนแต่มีความลี้ลับซับซ้อน ข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายของโอวาทนั้น แม่ทาริกาจงชี้แจงความหมายของโอวาทนั้นให้ข้าพเจ้าทราบ คือ ประการแรก บิดาของแม่ทาริกานี้สอนว่า “ ไฟในไม่ควรนําไปข้างนอก “ ดังนี้ เราทั้งหลายจะสามารถอยู่ได้เทียวหรือ ที่จะไม่ให้ไฟแก่พวกเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกันทั้ง ๒ ฟากข้าง “ กุฎมพีทั้ง ๘ สอบถามนางวิสาขาว่า “ แม่หนู ! ได้ยินว่า เป็นอย่างนั้นจริงหรือ ? “ นางวิสาขาได้แถลงแก้ว่า “ คุณพ่อทั้งหลาย ! ท่านบิดาของดิฉันมิได้พูดหมายความอย่างนั้น แต่ท่านได้สอนหมายความดังนี้ - แม่หนู เมื่อเจ้าได้เห็นโทษของมารดาบิดาของสามี และโทษของสามีของเจ้าแล้ว อย่าเอาไปนินทาข้างนอกตามบ้านนั้น ๆ เพราะขึ้นชื่อว่าไฟแล้วที่จะแรงร้ายเหมือนกับไฟชนิดนี้ย่อมไม่มี “
(๒) มิคารเศรษฐี ได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้ตั้งข้อสงสัยต่อไปอีกว่า “ ท่านทั้งหลาย ข้อนั้นขอผ่านไป แต่ว่าบิดาของแม่ทาริกานี้ได้สอนว่า “ ไฟข้างนอกไม่ควรให้เอาเข้ามาข้างใน “ ดังนี้ เราทั้งหลายจะสามารถเทียวหรือ เมื่อไฟภายในบ้านดับแล้ว ที่จะไม่นําไฟข้างนอกเข้ามา “ กุฎมพีทั้ง ๘ สอบถามนางวิสาขาว่า “ แม่หนู ! ได้ยินว่าเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ ? “ นางวิสาขาแถลงแก้ว่า “ คุณพ่อทั้งหลาย ! ท่านบิดาของดิฉันมิได้พูดหมายความอย่างนั้น แต่ท่านได้สอนหมายความดังนี้ - ถ้าสตรีหรือบุรุษทั้งหลายในบ้านใกล้เรือนเคียงของเจ้า พูดถึงโทษของมารดาบิดาสามีและของสามี เจ้าอย่าได้นําเอาโทษที่เขาพูดแล้วนั้น มาพูดสับส่อว่า คนชื่อโน้นได้กล่าวโทษของท่านอย่างนี้ เพราะขึ้นชื่อว่าไฟที่จะแรงร้ายเหมือนไฟชนิดนี้ ย่อมไม่มี “ นางวิสาขานั้นได้พ้นความผิดในเพราะเหตุนี้ ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ในโอวาทข้อที่เหลือนางวิสาขาก็ได้พ้นความผิดเหมือนในข้อนี้ ส่วนอรรถาธิบายความในโอวาทข้อที่เหลือ มีความหมายดังต่อไปนี้
(๓) โอวาทข้อที่บิดาของนางวิสาขาสอนว่า “ แม่หนู ควรให้แก่คนที่ให้คืนเท่านั้น ” ท่านเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “ คนพวกใดขอยืมเอาเครื่องอุปกรณ์ไปแล้วนํามาส่งคืน ควรให้แก่คนพวกนั้นนั่นแล ”
(๔) โอวาทข้อว่า “ ไม่ควรให้แก่คนที่ไม่ให้คืน ” ดังนี้ ท่านเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “ คนจําพวกใดขอยืมเอาเครื่องอุปกรณ์ไปแล้ว ไม่นํามาส่งคืน ไม่ควรให้แก่คนจําพวกนั้น ”
(๕) โอวาทข้อว่า “ ควรให้ทั้งแก่คนที่ให้คืนทั้งแก่คนที่ไม่ให้คืน ” ดังนี้ ท่านเศรษฐีกล่าว หมายความว่า “ เมื่อหมู่ญาติมิตรที่ยากจนมาหา ญาติมิตรเหล่านั้นจะสามารถให้คืนก็ตาม ไม่สามารถจะให้คืนก็ตาม ควรให้แก่ญาติมิตรเช่นนั้นนั่นแล ”
(๖) โอวาทข้อว่า “ ควรนั่งให้เป็นสุข ” ดังนี้ ท่านเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “ ไม่ควรจะนั่งในสถานที่ที่เห็นมารดา บิดาของสามีและเห็นสามีแล้วต้องลุกขึ้น ”
(๗) โอวาทข้อว่า “ ควรรับประทานให้เป็นสุข ” ดังนี้ ท่านเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “ ไม่ควรรับประทานก่อนมารดาบิดาของสามีและก่อนสามี เลี้ยงดูท่านเหล่านั้นให้เรียบร้อย รู้ว่าทุก ๆ คนได้อะไร หรือยังไม่ได้อะไรเสียก่อน แล้วตนเองจึงรับประทานภายหลัง ”
(๘) โอวาทข้อว่า “ ควรนอนให้เป็นสุข ” ดังนี้ ท่านเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “ไม่ควรขึ้นนอนก่อนมารดาบิดาของสามีและก่อนสามี ทําการปรนนิบัติสิ่งที่ควรทําแก่ท่านเหล่านั้นให้แล้วเสร็จเสียก่อน ตนเองจึงนอนภายหลัง ”
(๙) โอวาทข้อว่า “ ควรบูชาไฟ ” ดังนี้ ท่านเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “ มารดาสามีก็ดี บิดาสามีก็ดี สามีก็ดี ควรเห็นเป็นดุจกองไฟ และเป็นดุจพระยางู ”
(๑๐) โอวาทข้อว่า “ ควรไหว้เทวดาภายใน ” ดังนี้ ท่านเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “ มารดาสามี บิดาสามีและสามี ควรเห็นให้เป็นดุจเทวดา ”
มิคารเศรษฐี ครั้นได้ฟังความหมายของโอวาททั้ง ๑๐ ข้อนี้ อย่างนี้แล้ว ก็มองไม่เห็นคําที่จะโต้แย้งต่อไป เลยนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ ด้วยประการฉะนี้
อถ นํ กุฏมฺพิกา - ขณะนั้น กุฎมพีทั้งหลายจึงเรียนถามมิคารเศรษฐีว่า “ ท่านเศรษฐี ความผิดอย่างอื่น ๆ ของธิดาข้าพเจ้าทั้งหลายยังมีอยู่ไหม ? “ มิคารเศรษฐีตอบว่า “ ไม่มีแล้วท่านทั้งหลาย “ กุฎมพีทั้ง ๘ เรียนกับเศรษฐีว่า “ เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรท่านจึงสั่งให้ฉุดธิดาของพวกข้าพเจ้าซึ่งไม่มีความผิดออกจากบ้าน โดยไม่มีเหตุการณ์อันสมควรเล่า “ เมื่อกุฎมพีทั้ง ๘ พูดอย่างนี้แล้ว นางวิสาขาจึงเรียนว่า “ คุณพ่อทั้งหลาย ครั้งแรกดิฉันไม่ควรจะด่วนไปตามคําขับไล่ของบิดาสามีของดิฉันก็จริง แต่เดี๋ยวนี้ดิฉันควรจะไปได้แล้ว เพราะว่าเวลาที่ดิฉันจะมาท่านบิดาของดิฉันได้ฝากฝังดิฉันไว้ในเงื้อมมือของท่านทั้งหลาย เพื่อให้ช่วยชําระสะสางความผิดความถูกของดิฉัน และท่านทั้งหลายก็ได้ทราบแล้วว่า ดิฉันไม่มีความผิดอะไร “ ครั้นแล้วก็ได้สั่งบรรดาคนใช้หญิงชายทั้งหลายว่า “ พวกเธอจงตระเตรียมการมียานพาหนะเป็นต้นได้ “ ลําดับนั้น มิคารเศรษฐียึดกุฎมพีทั้ง ๘ ไว้แล้วพูดกับนางวิสาขาว่า “ แม่หนู ! พ่อได้พูดไป เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เจ้าจงให้อภัยแก่พ่อเสียเถิด “ นางวิสาขาจึงเรียนว่า “ คุณพ่อเจ้าคะ สิ่งที่ควรให้อภัยแก่คุณพ่อ ดิฉันขอให้อภัยได้ แต่ดิฉันเป็นธิดาของตระกูลที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง เมื่อเว้นจากภิกษุสงฆ์แล้ว ก็จะเป็นไปไม่ได้ ถ้าดิฉันได้ปฏิบัติภิกษุสงฆ์ตามความพอใจของดิฉันแล้ว จึงจักอยู่ได้ “ มิคารเศรษฐีให้โอกาสว่า “ แม่หนู ! เจ้าจงปฏิบัติสมณะทั้งหลายของเจ้าตามความพอใจเถิด “
วิสาขา ทสพลํ นิมนฺตาเปตฺวา ปุนทิวเส - ครั้นวันรุ่งขึ้น นางวิสาขาก็ได้ให้กราบทูลอาราธนาสมเด็จพระทศพลพุทธเจ้าให้เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของตน ฝ่ายพวกสมณะเปลือยได้ยินข่าวว่า สมเด็จพระบรมศาสดาจะเสด็จไปบ้านมิคารเศรษฐี จึงได้พากันไปนั่งล้อมเรือนมิคารเศรษฐีไว้ ฝ่ายนางวิสาขาถวายน้ำทักขิโณทกแล้ว ก็ส่งสาส์นไปเชิญมิคารเศรษฐีว่า “ เครื่องสักการะทุก ๆ อย่าง ดิฉันจัดแจงเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญคุณพ่อของลูกจงมาอังคาสพระทศพลพุทธเจ้าเถิด เจ้าข้า “ ขณะนั้น พวกอาชีวกได้ห้ามมิคารเศรษฐีซึ่งอยากจะมาอยู่ว่า “ ท่านคหบดี ท่านอย่าไปสํานักของพระสมณโคดมเลย “ มิคารเศรษฐีเมื่อถูกห้ามดังนั้น จึงส่งข่าวไปบอกนางวิสาขาว่า “ ขอให้ลูกสะใภ้ของพ่อจงอังคาสเสียเองเถิด “ นางวิสาขาได้อังคาสเลี้ยงดูภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประธาน ครั้นภิกษุสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว ได้ส่งข่าวไปบอกแก่มิคารเศรษฐีอีกว่า “ ขอเชิญคุณพ่อของลูกจงมาฟังพระธรรมเทศนา “ ขณะนั้น มิคารเศรษฐีดําริว่า คราวนี้ที่จะไม่ไปย่อมไม่สมควรอย่างยิ่ง จึงเดินไปด้วยประสงค์จะฟังธรรม พวกอาชีวกเหล่านั้นได้พูดแนะนําเศรษฐีว่า “ ถ้าเช่นนั้น เมื่อท่านจะฟังธรรมของพระสมณโคดม ก็จงนั่งฟังอยู่แต่ภายนอกม่าน “ ครั้นแล้วก็รีบล่วงหน้าไปก่อนเศรษฐี จัดการกั้นม่านไว้อย่างเรียบร้อย เมื่อมิคารเศรษฐีไปถึงแล้วก็นั่งอยู่ภายนอกม่าน ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาทรงพระพุทธดําริว่า “ เจ้าจะนั่งอยู่ภายนอกม่านก็ตาม จะนั่งอยู่ภายนอกฝาก็ตาม จะนั่งอยู่ภายนอกภูเขาก็ตาม หรือจะนั่งอยู่นอกจักรวาฬก็ตาม เราชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้าย่อมสามารถที่จะทําให้เจ้าได้ยินเสียงของเราได้ “ ครั้นแล้วก็ทรงปรารภอนุปุพพิกถา เพื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนา เป็นเสมือนทรงจับต้นหว้าใหญ่สั่นอยู่ หรือเป็นเสมือนทรงยังฝนอมฤตธรรมให้ตกอยู่ฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้
แสดงพระธรรมเทศนามาในเรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขากัณฑ์ที่ ๒ ยังไม่สุดสิ้นระบิลความ แต่เป็นการสมควรแก่เวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
|