วัดป่าสุธัมมาราม
ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ คือ ปรโตโฆษะ๑ และ โยนิโสมนสิการ ๑
เมื่อวานนี้ ( วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 ) หลวงปู่ได้สนทนาธัมมกับคุณต้น ( อดิศักดิ์ – แอดมินเฟสบุ๊ควัดป่าสุธัมมาราม ) เธอมีความข้องจิตติดสงสัยกับคำภาษาบาลีอยู่คำหนึ่ง " ปรโตโฆษะ "
เหตุปัจจัยที่จะให้ถึง " สัมมาทิฏฐิ " ( สัมมาทิฏฐิมีหลายระดับ ) เพื่อให้เข้าถึงธรรมชาติหรือเข้าถึงพระธัมมคำสอนของพระบรมครู มี ๒ คือ " ปรโตโฆษะ " ๑ และ " โยนิโสมนสิการ " ๑ ที่จะกล่าวนี้คือระดับ อุภโตภาควิมุตติ
ความหมายโดยการปฏิบัติของการโยนิโสมนสิการ หลวงตาได้อธิบายชี้แนะแล้วนานแล้ว คงจำได้และทำความเข้าใจกันแล้ว คือการที่จะพิจารณาสิ่งใดๆ ให้นำสิ่งนั้นธรรมชาตินั้น มาวางไว้ในจิตเพื่อการพิจารณา ถ้าหยิบมาวางไว้พิจารณาอยู่อย่างไม่ฉลาดก็จะโง่ดักดานตื้อตันแค่หญ้าปากคอก หญ้าเพียงเล็กน้อยก็สามารถปิดกั้นขวางทางได้ฉันใด การพิจารณาสิ่งใดๆ ธรรมชาติใดๆ ไปแบบตื้อตึงเอาแต่ดันทุรังไม่มีความรอบรู้คือขาด Perfect Knowing ขาดความรอบรู้อันเป็นปัจจัยเบื้องต้นของนักคิดนักพัฒนาก็จะคิดให้แทงตลอดไม่ได้ ต้องใช้อุบายปัญญาหาข้อเทียบในองค์ความรู้ที่มีอยู่มาวางเป็นไกด์ไลน์เพื่อการหาจุดเริ่มต้นซึ่งอาจล้มเหลว 359.59.59 ครั้งก็ได้ แต่ในเสี้ยวเศษสุดท้ายสามารถรวบรวมประมวลมาเป็นจุดเริ่มต้นใหม่เพื่อความสำเร็จถึงที่สุดก็คือ กรรมและบุญญาธิการ นี้คือการโยนิโสฯ
แล้ว " ปรโตโฆษะ " ละ คืออะไร เกี่ยวเนื่องกันแน่นอน ตามหลักปริยัตินั้น ก็หมายความตามที่เขาว่ากัน คือ สัมมาทิฏฐิ ( ความรู้รอบรอบรู้ในศาตร์แขนงต่างๆ ) อันเป็นบาทฐานของสัตว์ทั้งหลายที่จะสามารถประสพความสำเร็จในระดับต่างๆ
ส่วนการจะเข้าถึงพระธัมมคำสอนของพระบรมครู จะอาศัยเพียงปัญญาอันเป็นปุถุชนจากการศึกษาปริยัติ ไม่ทำความเพียรอย่างยิ่งยวดด้วยการปฏิบัติ ให้ถึงซึ่ง อุภโตภาควิมุตติ คือปัญญาวิมุตติ ๑ เจโตวิมุตติ ๑ ย่อมไม่ได้
โดยอาศัยพื้นฐานปัญญาจากปริยัติ ศึกษาจนถ่องแท้กระทั่ง " ปัญญาวิมุตติ " คือปัญญาบริสุทธิแล้ว แต่ยังไม่มีผู้รับรองค้านคัดดัดให้วิจิตร ย่อมไม่ใช่ที่ปรารถนาของเส้นทางสายเปลี่ยว
ผู้ปรารถนาทางสายเปลี่ยวย่อมต้องเข้าให้ถึง " วิมุตติ " สอง คือ ปัญญาวิมุตติ และ เจโตวิมุตติ หรือ " อุภโตภาควิมุตติ " ตามแนวทางสอนของพระบรมครู
อย่างที่บอก การยืนยันว่าสิ่งที่ร่ำเรียนมานั้นตรงไม่ผิดเพี้ยนไม่ทึกทักมโนเอาเองว่าบริสุทธิแล้ว ย่อมต้องอาศัยกัลยาณมิตรผู้ทรงคุณสูงสุดในโลกนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากยิ่งสิ่งเดียวในมนุสโลก ฉะนั้นที่สำคัญกว่าคือผู้ที่อยู่เหนือกว่า ผู้ที่อยูในโลกอื่น ( ปรโลก ) บุคคลหรือคณะบุคคลที่จะคอยคัด( ค้าน ) เห็นแย้ง ต่อต้านขืนขัด ฯ เหล่านี้ล้วนใช้ " ปร " นำหน้าทั้งสิ้น ( " ปะ “ คือ เห็นแย้ง คัดค้าน ต่อต้าน ทำลาย ทำให้ไม่สงบ ทำให้ไม่สมดุลย์ ไม่สมประกอบ ฯ เช่น ปะเกษตรในวิชาโหราศาสตร์ คือความไม่อุดม ทำให้ความอุดมเสื่อมถอย เช่นนี้เป็นต้น )
ฉะนั้น " ปรโต " คือผู้ที่เห็นแย้งเห็นต่างต่อต้านคัดกรองทำให้เปลี่ยนแปลง ฯ แล้วใครละที่จะมีความสามารถถึงเช่นนั้น ถ้าเชื่อและศรัทธาในพุทธสอน พระองค์ท่านได้รับคำยืนยันไว้แล้วโดยแยกเป็น ๒ ฝ่าย เทพฯ และ มาร ซึ่งได้รับเป็นผู้ดูแลพระธัมมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อยู่อย่างสถาพรปลอดภัยในช่วงระยะเวลาห้าพันปีตามพุทธทำนาย แบ่งเป็น ๒๕๐๐ ปี ๑๒๕๐ ปี และ ๑๒๕๐ ปี ( ค้นคว้าต่อเอง )
" ปรโต " ไม่ได้หมายถึงผู้คัดค้านคัดกรองที่เป็นมนุสโลก แต่หมายเอาผู้อยู่ใน " ปรโลก " ที่ได้ " โฆษณา " หรือประกาศตนไว้แล้วว่าจะเป็นผู้ขอสืบทอดพระธัมมคำสอนต่อไป แม้กายจะแตกแล้วแต่ดวงจิตจะยังทรงพลังเพื่อสืบค้นผู้สืบต่อพระธัมมคำสอนของพระบรมครู พระบรมครูเรียกขานเป็นบัญญัติว่า " ปรโตโฆษะ " ท่านเหล่านี้คือกัลยาณมิตรที่แท้จริงถ่องแท้แล้ว
อย่าเชื่อ นี้เป็นการอธิบายให้แยกแยะทำความเข้าใจในคำสอนในพุทธบัญญัติ เพื่อผู้ที่มีความศรัทธาในคำสอนของพระบรมครูสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้หาลู่ทางในการฝึกฝนทั้ง ปริยัติ และ ปฏิบัติ เพื่อเดินทางสายเปลี่ยว เข้าให้ถึงวิมุตติสองคือ อุภโตภาควิมุตติ ปัญญาวิมุตติ และ เจโตวิมุตติ
การเป็นผู้อาศัยพุทธสอนเป็นเครื่องมือประกอบความสำเร็จมีมากมายหลายหลาก สังคมใดใดในโลกมนุษย์นี้ย่อมมีหลากหลายปรารถนา สำเร็จบ้าง ไปได้ครึ่งๆ กลางๆ บ้าง ล้มเหลวบ้าง ล้วนขึ้นกับจิตตนและบุพกรรมและปัจจุบันกรรมเป็นเหตุของวัฏสงสาร ผู้บวชมากมายยังไม่ตายเพราะกายแตกก็รู้แล้วว่าจะต้องเดินทางไปสู่ปรโลกอันไม่เป็นสุขคืออบายภูมิ มี เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และนรกภูมิอีกมากมายหลายร้อยขุม เหตุเพราะไม่ถ่องแท้ในธัมมเดินทางได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็อหังการเสียแล้ว มีเยอะแค่เริ่มต้นก็เห็นความทะยานอยากแล้ว ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งลึกลง ลางท่านก็รู้ตัวทันเพราะฝักใฝ่ทำความเพียรจนเพี้ยนตั้งสติไม่ทันหลุดโลกไป ชะรอยแห่งบุญที่มี " ปรโตโฆษะ " ผู้เคยเป็นกัลยาณมิตรสกิดแกะให้ถึงได้กลับตัว แต่ก็เสียโอกาสในชาติภพปัจจุบัน ลางคนก็เลวแล้วเลวยาวแต่มองตัวเองไม่เห็น ไม่เคยมีกัลยาณมิตรทั้งทางโลกและปรโลก ไม่เคยแม้แต่จะรู้จัก " ปรโตโฆษะ " จึงสร้างทางสู่มหาอเวจีโลกันตนรก
ท่านทั้งหลาย " ศรัทธา " ต้องศึกษาค้นคว้า อย่าติดกับดักของโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข คือมหันตทุกข์ของนักบวช ดั่งคำสอนที่เปรียบเทียบนักบวชกับต้นไม้ โดยแบ่งออกเป็น ๕ ช่วงระยะ คือ
๑.เมื่อบวชใหม่เปรียบได้เช่นกิ่งใบที่ขจีงามเขียวทั้งต้น
๒.เมื่อรักษาศีลได้ไม่บกพร่องเปรียบได้ดั่งเปลือกไม้
๓.เมื่อฝึกฝนทำสมาธิจนแก่กล้าก็เปรียบได้ดั่งสะเก็ดไม้
๔.เมื่อทำความเพียรอย่างยิ่งยวดพิจารณาวิเคราะห์วิปัสสนาลดละกิเลส เปรียบได้ดั่งกระพี้ไม้
๕.เมื่อตั้งมั่นเข้าถึงวิมุตติ ๒ วิชชา ๓ เปรียบได้ดั่งแก่นไม้
บุญรักษา
หลวงปู่เตือนให้ตั้งสติกันดีๆ ในปีงูไฟ ปีนี้อย่าได้ประมาท
เป็นอย่างไรบ้างท่านทั้งหลาย จากปีใหม่จนถึงตรุษจีน ตั้งสติกันได้บ้างไหม จง หมั่นตรวจสอบอารมณ์ อาการตอบสนองของจิตตลอดเวลา ถ้ายังขาดๆ เกินๆ ไม่สามารถตั้งสติ จงหมั่นขัดเกลาด้วยการเสิร์ชจิตตนบ่อยๆ หรือตลอดเวลาได้ก็จะดี ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วมันเข้าสู่จิตแบบไหน กุศลหรืออกุศล เช่นตาเห็นอะไร จิตแรกเป็นอย่างไร อกุศลก็แก้ไขสอนตนเองให้เข้าใจ หูต้องได้ยินตลอดเวลา ถ้าไม่ได้ยินก็คือขาดสติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันทำงานไปด้วยกัน ต้องฝึกจิตจนกระทั่งแยกออกเป็นส่วนๆ ได้ จึงจะเรียกว่าฝึกจิตให้ว่องไว ฝึกจนว่องไวจึงจะเห็นว่าจิตทำงานได้หนึ่งเดียว ถ้ายังมองไม่เห็นก็เท่ากับไม่ได้ฝึก ถ้าต้องมาทบทวนที่หลังแล้วจึงจะเห็นว่าผิดพลาดนั่นคือไม่ทันจิตขาดสติ ต้องดูพฤติกรรมของจิตตลอดเวลาจึงจะเห็นจิต แล้วจะเจริญขึ้น ปีงูไฟเริ่มแล้ว ต้องอยู่ในศีลในธรรมจึงจะรอดจากไฟนี้ สงครามของพวกไร้ศีลธรรมพาเดือดร้อนไปทั้งโลก จงตั้งสติทบทวนถึงกุศลที่ทำไว้ให้มากให้บ่อยๆ ให้ตลอดเวลาได้จะยิ่งปลอดภัย ทำกุศลกรรมให้มากๆ การตรวจสอบสอนตนเองให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรมก็เป็นกุศล ไม่ต้องใช้ตังค์ไม่ต้องกระทบกระทั่งกับใคร ดูแต่ตัวเองขัดเกลาตนเองแก้ไขตนเอง ไม่เดือดร้อนใครแต่ต้องตั้งอยู่บนเมตตาธรรม ไม่ใช่เห็นแก่ตัวไม่เกื้อกูลคนอื่น อันนั้นไม่ใช่กุศลเป็นอกุศล ดูแลตนเองแล้วต้องใส่ใจคนรอบข้างด้วยเมตตา อันนี้จึงจะเป็นกุศลจิต บุญรักษา มีบุญเป็นใหญ่ เป็นอธิการ
คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อและตีความไปตามกิเลสตน เข้าใจว่า " นิทานธัมมะ " เป็นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อหลอกล่อให้คนหลงเชื่อ
คำว่า " นิทาน " ตามบาลีแล้วคือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง คนมีบุญ หรือเรียกว่าคนมีบุญญาธิการ แปลว่า " มีบุญเป็นใหญ่ เป็นอธิการ " คือเป็นนายเป็นหัวหน้าเหนือเรื่องอื่นใด จิตปรารถนาจะทำบุญก็ได้ทำบุญจนสำเร็จ ปรารถนาจะทำทาน ทานก็มีมาให้ทำ และทำได้สำเร็จตามปรารถนา
ในพุทธกาลของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคตร ก็มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น
ครั้งนั้นพราหมณ์ผู้เป็นลุงของท่านสารีบุตรได้รับเชิญให้ไปทำพีธีทางพราหมณ์ได้รับไทยทานมา ดำริว่าอยากจะทำกุศลกับพระอรหันต์ผู้เป็นหลานชาย เธอเฝ้ารออยู่หลายเพลาพระสารีบุตรผู้เคยมาเยี่ยมเยือนเป็นประจำก็ไม่มา ครั้นไทยทานที่ได้รับมาหมดไปแล้ว ไม่มีใครเชิญไปแล้ว พระสารีบุตรท่านก็มาเยี่ยมเยือนเป็นปกติ พราหมณ์ผู้เป็นลุงจึงตรึกกับตนเองว่า " ทานมีก็ไม่มีพระ พระมาก็ไม่มีทาน เราช่างบุญน้อยยิ่งนัก " ตรึกดั่งนี้แล้วก็เศร้าหมองจิตและกายใจก็หมองหม่นสิ้นราศี พระสารีบุตรเห็นเช่นนั้นก็เพ่งมองถึงสาเหตุปลอบประโลมแล้วก็ลากลับไป
ไม่นานต่อมาพราหมณ์ก็ได้รับเชิญไปทำพิธีกรรม มีไทยทานมากมาย ดำริว่าวันนี้เราจะขอสร้างกุศลใหญ่ด้วยการถวายทานที่ได้รับมาจนหมดแด่พระอรหันต์หลานชาย ดำริเช่นนั้นแล้วก็เดินทางกลับที่พำนักด้วยจิตที่เบิกบาน
ครั้นกลับถึงบ้านพบท่านสารีบุตรรออยู่จึงเอ่ยด้วยความปีติยินดีเปรมปรีดิ์ยิ่งนักคุกเข่าลงอังคาสถวายทานทั้งหมดแด่ท่านพระสารีบุตร
ท่านพระสารีบุตรเห็นดังนั้นจึงน้อมลงรับแล้วกล่าวว่า “ เราขอรับไว้เพียงครึ่งเดียว “ พรามหณ์ผู้เป็นลุงจึงกล่าวว่า ขอท่านพระสารีบุตรอย่าได้ทำให้ข้าพเจ้าบุญน้อยเลย พระมาทานก็ไม่มี ทานมีก็ไม่มีพระ วันนี้มีทั้งพระและมีทั้งทานพร้อม ขอข้าพเจ้าได้สร้างกุศลใหญ่สมดั่งที่ตั้งใจไว้ ขอท่านพระสารีบุตรได้โปรดเมตตาทำให้ข้าพเจ้าสมปรารถนาด้วยเถิด
เห็นดังนั้นแล้วท่านพระสารีบุตรจึงตั้งจิตรับทานที่พรามหณ์ลุงอังคาสถวายให้แล้วให้พรว่า
" อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ "
ท่านพรามหณ์ปลื้มปีติยิ่งนัก ทำจิตเป็นสมาธิยิ่งน้อมส่งท่านสารีบุตรกลับแล้ว อยู่ในสมาบัติจนละสังขาร แล้วได้ไปเกิดในครรภ์ภริยาเศรษฐี เธอดลจิตให้ภริยาท่านเศรษฐีมีจิตฝักใฝ่สร้างกุศล นิมนต์ท่านพระสารีบุตรมาเทศนาธัมมและถวายทานเป็นประจำ ครั้นได้เกิดเป็นบุตรเศรษฐีก็ยังคงได้ฟังธัมมเทศนาและสร้างทานแด่ท่านพระสารีบุตรเป็นประจำ ฯลฯ
ท่านทั้งหลาย ขอท่านอย่าได้ทำตนเองให้เป็นคนบุญน้อยเลย จงหมั่นเพียรสร้างบุญทานการกุศลเป็นประจำ จงทำด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ละกิเลสเสียก่อนจึงค่อยสวดมนต์ไหว้พระสร้างกุศล อย่าเอากิเลสติดตัวไว้ในยามที่จะทำกุศลใดๆ จงละให้จิตผ่องแผ้วปีติท่วมท้นแล้วสร้างกุศล จะได้ผลบุญมากยิ่งดั่งเช่นพรามหณ์ผู้เป็นลุงของท่านสารีบุตร
การดับแล้วเกิดใหม่ในภพที่ดีกว่า หลวงตาสอนไว้แล้ว ใช่ว่าต้องตายเพราะกายแตกจึงจะเรียกว่าดับ แต่เป็นการดับภพชาติที่มีอยู่ในเราให้หมดสิ้นไป เมื่อจิตที่เกิดใหม่ในร่างเดิมนี้แหละผ่องแผ้วละอกุศลจิตให้เบาบางแล้ว ย่อมเปลี่ยนภพให้ดีได้ ดั่งที่ได้สอนไว้แล้ว " เกิดขึ้น เรียนรู้ ตั้งอยู่ ถ่ายทอด ดับไป " เป็นเช่นนี้สันตติต่อเนื่องจนผ่องแผ้ว ย่อมประสพพบทางสว่างแน่นอน จิตรับรู้อารมณ์ใจวินิจฉัยตัดสินคัดเลือกแล้วสั่งการ ถ้าไม่ลงมือพากเพียรแล้วจะรู้จักหรือ เอวังฯ
บุญรักษา ผู้มีปัญญา พึงสร้างเกาะที่ห้วงน้ำท่วมทับทำลายไม่ได้ด้วยธรรม ๔ ประการ
“ อุฏฺฐาเนนปฺปมาเทน สญฺญเมน ทเมน จ ทีปํ กยิราถ เมธาวี ยํ โอโฆ นาภีกีรติ “ พระธรรมเทศนาสุภาษิตนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดแก่พระภิกษุทั้งหลาย โดยทรงปรารภปฏิปทาของพระจูฬปันถกเถระเป็นตัวอย่าง มีข้อความสั้นๆ ดังนี้ “ ผู้มีปัญญา พึงสร้างเกาะที่ห้วงน้ำท่วมทับทำลายไม่ได้ด้วยธรรม ๔ ประการ คือ ความเพียร ๑ ความไม่ประมาท ๑ ความสำรวม ๑ ความฝึกตน ๑ “ เรื่องพระจูฬปันถกเถระ อันมีมาในคัมภีร์อรรถกถาพระธรรมบท ขุททกนิกาย อัปปมาทวรรคที่ ๒ แห่งพระสุตตันตปิฎก นับเป็นลำดับเรื่องที่ ๑๗ ในพระธรรมเทศนาสุภาษิตนี้อยู่ในกัณฑ์ที่ ๒ อรรถาธิบายว่า คำว่า เกาะในที่นี้ท่านหมายเอาพระอรหัตผล คำว่า ห้วงน้ำ หมายเอาห้วงน้ำคือกิเลส ซึ่งเรียกในคำบาลีว่า “ โอฆะ “ โอฆะที่แปลว่าห้วงน้ำคือกิเลสนั้นท่านสงเคราะห์ไว้ ๔ อย่าง เรียกว่า โอฆะ ๔ คือ ๑. กาโมฆะ ห้วงน้ำคือกาม อันได้แก่ความอยากได้ใคร่ดีในอารมณ์ต่างๆ ๒. ภโวฆะ ห้วงน้ำคือภพ อันได้แก่เจตนากรรมอันเป็นเหตุให้อยากเกิดในภพทั้งสาม ๓. ทิฏโฐฆะ ห้วงน้ำคือสักกายทิฏฐิ อันได้แก่ความเห็นผิด คือเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวเป็นตนเป็นสัตว์เป็นบุคคลจริงๆ เป็นต้น ๔. อวิชโชฆะ ห้วงน้ำคืออวิชชา อันได้แก่ความไม่รู้จักสภาวธรรมตามเป็นจริง หรือไม่รู้จักปรมัตถธรรม โอฆะธรรมทั้ง ๔ นี้ เป็นเครื่องท่วมจิตใจของสรรพสัตว์ทั้งหลายผู้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ โอฆะ ๔ เป็นดุจดังมหาสมุทรสาคร จึงเรียกว่าห้วงน้ำ สัตว์ทั้งหลายที่เกิดๆ ตายๆ กันอยู่นี้ เป็นเสมือนคนที่แวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรสาครนั้น เพราะถูกห้วงน้ำทั้ง ๔ นี้ท่วมทับทำลาย จึงทำให้ทุกข์กันอยู่ตลอดชาติและตลอดไปทุกชาติทุกภพ และไม่ทราบว่าจะไปหมดทุกข์กันเมื่อใดไม่มีใครรู้ จึงเปรียบเสมือนคนที่แวกว่ายอยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มองไม่เห็นฝั่งฝา และไม่มีเกาะแก่งที่จะพักพาอาศัย แม้ถึงเป็นดังนี้ ก็ไม่คิดที่จะสร้างแก่งไว้เป็นที่พึ่งอาศัย ด้วยอำนาจความเขลาไม่รู้เท่าทันตามสภาวธรรม เพราะฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสสอนให้สร้างเกาะสร้างแก่งไว้เป็นที่พึ่งเสีย หมายถึงให้ลงมือประพฤติปฏิบัติธรรมจนให้ได้บรรลุถึงซึ่งอรหัตผล เหมือนอย่างพระจูฬปันถกเถระ พระอรหัตผลนั้นเป็นดุจเกาะแก่งกลางมหาสมุทรสาคร อันเกาะแก่งซึ่งอยู่กลางมหาสมุทรนั้น น้ำมหาสมุทรย่อมขึ้นท่วมทำลายไม่ได้ คนที่ขึ้นอาศัยอยู่บนเกาะแล้วน้ำก็ท่วมไม่ได้ฉันใด พระอรหัตผลนั้น ก็เช่นเดียวกัน เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมได้บรรลุถึงอรหัตผลแล้วห้วงน้ำกิเลสทั้งหลาย ๔ มีกาโมฆะเป็นต้นนั้น ย่อมท่วมทับจิตใจไม่ได้คือพ้นจากห้วงกิเลสแล้ว พระอรหันต์ย่อมไม่เกิดตายวนว่ายอยู่ในสังสารวัฏต่อไปอีก ทั้งนี้ก็เพราะได้เกาะคือพระอรหัตผลเป็นที่พึ่งแล้ว สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสอนให้สร้างเกาะด้วยธรรม ๔ ประการคือ ความเพียร ๑ ความไม่ประมาท ๑ ความสำรวม ๑ ความฝึกตน ๑ ตามพุทธโอวาทนี้ ประการแรกผู้ปฏิบัติจะต้องมีความพยายามในการปฏิบัติธรรม ถ้าเกียจคร้านแล้วก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ เมื่อตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่าจะลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างเกาะให้เป็นที่พึ่งแก่ตนแล้ว แต่นั้นพึงตั้งสติสำรวมกายวาจาไม่ให้ละเมิดองค์ของศีลตามเพศภูมิของตน แล้วใช้สติคอยกำหนดจับอารมณ์ในทวารทั้ง ๖ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การใช้สติกำหนดจับอารมณ์อยู่อย่างไม่พลั้งเผลอได้มีสติเกิดทันทุกๆอารมณ์ที่ผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ นั้น เรียกว่าเป็นผู้ไม่ประมาทเพราะเป็นผู้มีสติปรากฏประจำอยู่ทุกทวารทุกวาระที่อารมณ์ผ่านมา อันเป็นลักษณะแห่งความไม่ประมาท อันได้แก่ความไม่อยู่ปราศจากสติ ต่อแต่นั้นก็พยายามใช้สตินั่นแหละคอยกำหนดอารมณ์ในทวารทั้ง ๖ เรื่อยๆ ไป ในขณะเดียวกันนั้น สัมปชัญญะอันเป็นตัวปัญญาก็จะแก่กล้าขึ้น รู้เท่าทันอารมณ์นั้นๆ ตามความเป็นจริง คือเห็นเป็นเพียงขันธ์ ๕ หรือรูปนาม หรือกายกับใจเท่านั้น ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลจริง ที่เรียกขานกันว่าสัตว์ ว่าบุคคลนั้น เป็นแต่เพียงสมมติกันขึ้นเท่านั้น เมื่อพยายามกำหนดไปพิจารณาไปโดยนัยนี้บ่อยๆ ไม่ยอมละเลิกความเพียร เรียกว่าฝึกตนหรือทรมานตนก็เรียก เมื่อฝึกไปทรมานไป ด้วยอาศัยกำลังคือความเพียรเป็นปัจจัย สติก็จะแก่กล้าคือว่องไว กำหนดทันกับจังหวะของอารมณ์นั้นๆ ได้ดีขึ้นจนไม่พลาดเลย สัมปชัญญะคือญาณก็จะแก่กล้าคือรู้แจ้งชัดต่ออารมณ์นั้นมากขึ้น จนเห็นพระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แจ้งชัด เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ คือศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นไปโดยสม่ำเสมอกันแล้ว จิตของผู้ปฏิบัติธรรมก็จะสลัดทิ้งเสียซึ่งสังขารคือรูปนามที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาญาณอยู่นั้น โดยน้อมไปรับเอาพระนิพพานมาเป็นอารมณ์แทน ขณะที่จิตเปลี่ยนอารมณ์จากรูปนามไปรับเอานิพพานอารมณ์นั้น เป็นวาระแห่งการบรรลุมรรคบรรลุผลตามลำดับ ผู้ที่ได้บรรลุถึงพระอรหัตผลนั้น พระอรหัตมรรคญาณย่อมทำหน้าที่ประหารโอฆะทั้ง ๔ ให้สิ้นสูญไปอย่างเด็ดขาดแล้ว เพราะฉนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสสอนว่า “ ผู้มีปัญญา พึงสร้างเกาะที่ห้วงน้ำท่วมทับทำลายไม่ได้ด้วยคุณธรรม ๔ ประการ คือ ความเพียร ๑ ความไม่ประมาท ๑ ความสำรวม ๑ ความฝึกตน ๑ “ บุญรักษา |