วัดป่าสุธัมมาราม
ถอดรหัสธัมม “ สัญญาเวทยิตนิโรธ “
วันนี้แถมให้หน่อยนะ
" สัญญาเวทยิตนิโรธ ต้องดับโกรธ ( โมโห ) เสียก่อนจึงจะได้ "
หมายความว่าอย่างไร ต้องแปลหรือตีความให้เข้าใจให้ถูกเสียก่อน ถ้าตีความผิด เข้าใจผิด ก็จะฝึกฝน ถ่ายทอด ทรงจำ ผิดไปตลอดกาลนาน
" สัญญา – เวทนา – จิต - นิโรธ " ถ้าเขียนแยกเป็นคำๆ ใช้หลักภาษาบาฬี ( บาลี ) แปลงตัวที่ถูกแปลงเพื่อผนวกคำออกให้เป็นตัวเดิม ก็จะได้อย่างที่ถอดเป็นคำ ๆ ที่เห็นข้างต้น
ทีนี้ก็มาทำความเข้าใจความหมายว่าท่านหมายถึงอะไรในคำนั้น ต้องการบอกสอนอะไร
เราเริ่มมองที่ " สัญญา "
ใช่ " สัญญา " นี้มีทั้งดีและร้าย ไม่มีก็ไม่ได้ มีแล้วจะบริหารจัดการอย่างไรจึงจะนำพาให้ชีวิตตนเป็นสุข ไม่ทุกข์ไม่จมอยู่ ไม่ฟูเกิน
แล้ว " เวทนา " ละ มันก็มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ แล้วจะบริหารจัดการอย่างไร ให้เวทนานั้น ๆ เป็นไปตามความเป็นจริง
อย่างที่เคยบอกสอนไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเก่าหรือสัญญาใหม่ เวทนาเก่าหรือเวทนาใหม่ มันปนเปยุ่งเหยิงอีลุงตุงนัง จนจดจำไม่ได้ว่านั้นคืออะไรนี้คืออะไร
ทั้งหมดมันก็ถูกฝังอยู่ในจิตเราทั้งหมดไม่ได้อยู่เกินกว่าในจิต แม้กระทั่งที่เรียกว่าสัญญายะตะนะ มันก็ส่งไปฝังไว้ในจิตทั้งนั้น
ท่านจึงนำเอา สัญญา เวทนา จิต มาสมาสกัน แล้วใช้หลักบาฬีไวยกรณ์เข้าจัดการให้เป็นคำคำเดียว จึงเป็น " สัญญาเวทยิตนิโรธ "
เมื่อเข้าใจฐานของที่มาของคำสอนคำนั้น เราก็ใช้หลักที่ว่า " ทุกข์ ต้องกำหนดรู้ " เพราะเราไม่รู้ " สัญญาเวทยิตนิโรธ " เราก็ทุกข์ เราจึงต้องกำหนดรู้ รู้สัณฐาน และสังขาร ถอดความได้ก็สำเร็จ ที่ไม่สำเร็จก็เพราะยังมีอารมณ์ อารมณ์ที่ว่าคืออะไร ก็ " โมโห " ไง โมโห นี้ร้ายนัก จะทำอย่างไร ก็ต้องมาถอดคำว่า “ โมโห “ มันเป็นอย่างไร สัณฐานอย่างไร สังขารอารมณ์อย่างไร
เมื่อถอดออกได้ มากน้อยขึ้นอยู่กับบุญญาธิการ คือ ความเพียร นั่นแหละ
มีความเพียรให้ถึงระดับเป็น " วสี " คือความเพียรที่ติดแน่นในทุกกาล อย่างเช่น " จงพิจารณาตนเองทุกวัน......"
บุญรักษา
ธัมม(ะ) ร่วมสมัย ทั้งปีใหม่และตรุษจีน
เช้านี้ปวดหัวมาก สมองเลอะเลือน ปวดเบ้าตา วูบๆ ก็เลยมาสาธยายธัมม ให้ได้วินิจฉัย จากพระธัมมคำสอนของปู่ใหญ่พุทธสาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านสอนไว้ว่า " ผู้รู้ย่อมรู้ในสิ่งเดียวกัน " " เส้นทางของอรหันต์เปรียบได้ดั่งเส้นทางนกบิน " " เหมือนรอยขีดบนพื้นทราย " ย่อมหายไปเมื่อโดนคลื่นน้ำ และอีกมาก มาก ที่สำคัญ แต่ผู้ใฝ่หาเห็นแล้วก็ละทิ้ง วันนี้จึงยกมาแจกแจงแดกดันอีกครั้ง...... ผู้รู้ย่อมรู้ในสิ่งเดียวกัน ผู้เขลาย่อมแสวงหาในสิ่งที่เขลา มัวแต่หาไม่ดูตนเอง " เพียรข่มอบรมไป สว่างใจเกิดขึ้นเอง " ภาษิตนี้สอนมานานมากแล้ว ส่วน " สัญญาเวทยิตนิโรธ ต้องดับโกรธเสียก่อนจึงจะได้ " นี้ก็สอนมานานเหมือนกัน เหตุเพราะธรรมตรงหน้ามันกระทบจึงกล่าวออกไปให้กระทบหู ทั้งมนุษย์ เทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์ ธัมมอยู่ใกล้กลับไปหาในที่ไกล หาอะไรตัวเองยังไม่รู้ แล้วเมื่อไรจะรู้ เพราะเขลาจึงมีแต่กิเลส ก็เลยชอบที่จะ " ใช้กิเลสตนตัดสินผู้อื่น " นี่ละคือ " เขลา " เขลาเพราะยังดับโกรธไม่ได้ โกรธเริ่มที่ใจ ใจคือความคิดที่สั่งสมแต่กิเลส ส่งผลให้จิตหมอง จิตเป็นตัวรับรู้อารมณ์ จิตจึงไม่แจ่มใสไม่สว่าง จิตหมองเป็นที่เกิดของอารมณ์หมองแล้วก่อตัวไปจนถึงโกรธ ( ภาษาธัมมว่า " โมโห " ) ในเมื่อยังไม่ฝึกฝนพากเพียรเพื่อดับโกรธ ก็ฝึกอะไรไม่ได้ ฐานที่มั่นสำคัญของอานาปานสติ อยู่ที่อารมณ์ ตราบใดที่อารมณ์ยังหมอง " จิต และ ใจ " ย่อมหมอง มัว ขุ่น จนถึงมืดบอด แล้วเมื่อไรจะ " สว่างใจ " ละ " จิตใส ใจสว่าง " โกรธดับแล้ว อารมณ์ก็แจ่มใส ปัญญาก็เกิด
“ หลวงตากิตติญาโณ “ “ กิตติญาณเถร “ “ กิตติญาณภิกขุ “ “ พระบ้าฟั่นเฟือน “ “ พระอะไรสอนบ้าๆ “ “ หลวงพ่อไฮเทค “ “ หลวงตาติงต๊อง “ “ พระเก้ “ และอีกมากมายหลากหลายฉายา ขึ้นอยู่กับธรรมตรงหน้า บ้าๆ บอๆ ติงต๊อง เป็นปกติ เหตุเพราะ จิตแจ่มใส ใจเบิกบาน ปัญญาสว่าง ในพระธัมมคำสอน สาธุ สาธุ สาธุ...... บุญรักษา
พรปีใหม่ พ.ศ. 2566 จากหลวงปู่กิตติญาโณประมวลภาพงานทำบุญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ณ วัดป่าสุธัมมาราม ( 1 ม.ค. 2566 )
|