วัดป่าสุธัมมาราม
ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ประจำปี ๒๕๖๖
ขอเรียนเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี
เพื่อสมทบทุนในการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน
ณ วัดป่าสุธัมมาราม บ.หนองกลางเนิน ต.บ้านใหม่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๖ ( ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ )
เนื่องด้วยวัดป่าสุธัมมาราม กำลังทำการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานภายในวัด ที่ชำรุดทรุดโทรมจากสภาพที่ใช้งานมาร่วมสิบกว่าปี ยังขาดทุนทรัพย์เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์เป็นจำนวนมาก จึงขอเรียนเชิญท่านที่มีจิตศรัทธาและใจบุญร่วมสร้างกุศลทานบารมีในร่วมกันเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี ประจำปี ๒๕๖๖ ตามจิตศรัทธา
จึงขออนุโมทนาสาธุในบุญกุศลที่ได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ จึงขออำนวยพรให้บุญบารมีคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เคารพนับถือ จงบันดาลให้ท่านและครอบครัวจงประสบแต่ความสุข ความเจริญ ด้วยจตุรพิธพรชัย คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ธนสารสมบัติ อันพึงปรารถนาทุกประการเทอญ
กำหนดการ
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๖
( ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ )
เวลา ๑๐.๓๐ น. คณะกฐินสามัคคี ตั้งกองกฐิน วัดป่าสุธัมมาราม
เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์
เวลา ๑๑.๓๐ น. เรียนเชิญแขกผู้มาร่วมทำบุญร่วมรับประทานอาหาร
เวลา ๑๓.๐๐ น. ร่วมทำพิธีถวายผ้ากฐิน
สำหรับผู้มีจิตศรัทธาที่จะร่วมทำบุญทอดกฐินในปีนี้ แต่ไม่สะดวกในการเดินทางมาร่วมงานที่วัดป่าสุธัมมารามแห่งนี้ สามารถโอนปัจจัยส่งมาร่วมทำบุญได้ที่บัญชี
บัญชีธนาคารกรุงเทพ
สาขาท่าม่วง-กาญจนบุรี
ชื่อบัญชี มูลนิธิ สุธัมมสถาน
เลขที่บัญชี 441-0-30986-0
เรื่อง การเจริญเมตตาจิต
การเจริญเมตตาจิตคืออะไร การเจริญเมตตาจิตคือ การทำความเพียรจิตให้เกิดความเมตตาในระดับของจิต มิใช่การทำเพียงแค่ระดับกายหรือให้เข้าใจง่ายคือแค่ระดับผิวเผิน แต่การเจริญเมตตาจิตในระดับจิตคือการกระทำจิตให้เกิดเมตตาในระดับอายตนะ อายตนะประกอบด้วยธัมม ๑๒ ประการคือ ๑) ตา รับรู้รูปเพื่อให้เข้าถึงรูปราคะและอรูปราคะ เมื่อเข้าถึงในระดับจิตสัมปทาก็จะกำจัดนิวรณ์และสังโยคะ ๒) หู รับรู้เสียงเพื่อให้เข้าถึงรูปราคะและอรูปราคะในส่วนของโสตวิญญาณ ๓) จมูก รับรู้กลิ่นเพื่อให้เข้าถึงรูปราคะและอรูปราคะในส่วนของฆานวิญญาณ ๔) ลิ้น อันนี้รวมถึงประสาทรับรู้ทั้งหมดในช่องปากอันประกอบไปด้วยลิ้นกระพุ้งแก้มเหงือกฟันและน้ำลาย น้ำดื่มลึกลงไปถึงส่วนของคอหอยมีลิ้นไก่และกระเดือกฯ เพื่อให้เข้าถึงรูปราคะและอรูปราคะในส่วนของชิวหาวิญญาณ ๕) กาย อันนี้รวมส่วนที่เหลือทั้งหมดของประสาทรับรู้ทั้งมวลของร่างกายหลังนี้ มีลม เลือด กระดูก เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ เส้นขน รูขุมขนฯ เพื่อให้เข้าถึงราคะทั้งมวลมีทั้งรูปและอรูป ๖) ธรรมารมณ์ คืออารมณ์แห่งความเข้าใจในธรรมชาติทั้งมวลของร่างกายหลังนี้ที่จิตอาศัยเป็นที่อยู่ เพื่อเรียนรู้ที่จะละวางเมื่อหมดภาระ เป็นไปเพื่อที่จะให้เกิดสัมมาทิฏฐิคือปัญญารู้แจ้งในกายหลังนี้อันมีสักกายทิฏฐิไปจนถึงวิจิกิจฉาที่ประกอบรวมเป็นสังโยคะสิบอย่าง เมื่อเข้าใจเข้าถึงอย่างถ่องแท้ถึงธัมมทั้งมวลที่มาประกอบกันอันมีกรรมเป็นต้นเหตุ ถ้าไม่สามารถชำระจิตให้ผ่องแผ้วจนสิ้นกรรมย่อมเข้าถึงธัมมและธรรมชาติของนิพพานไม่ได้
ง่ายๆ แต่ต้องอาศัยความเพียรอย่างยิ่งยวดต่อเนื่องและกอร์ปไปด้วยปัญญาบริสุทธิ์ ไม่หมกมุ่นในผลประโยชน์ลาภยศสรรเสริญ บุญรักษา
เรื่อง นิพพาน คืออุภโตภาควิมุตติ
นิพพาน ไม่ใช่ความรู้ ในนิพพานคือ องค์รู้ องค์รู้คืออะไร องค์รู้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นได้อย่างไร สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นได้ด้วย อุภโตภาควิมุตติ แล้วอุภโตภาควิมมติคืออะไร อุภโตภาควิมุตติคือ วิมุตติสอง คือ หนึ่ง เจโตวิมุตติ และสอง ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ เกิดได้อย่างไร เกิดได้ด้วยสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐินั้นประกอบไปด้วยอะไร ประกอบไปด้วยเมตตา ฉะนั้น การทำความเพียรคือการทำเมตตาจิต เมตตาจิต ไม่ใช่ทำเมตตาเพียงแค่ “ สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุข จงเป็นสุข เถิด ฯ “ แต่การทำเมตตาจิตที่เข้าไปให้ถึงสภาวธรรม ต้องทำความเพียรสูงมากสูงจนกระทั่งเห็นสภาวธรรมคือ เจโตวิมุตติ เมื่อเห็นเจโตวิมุตติ จึงจะเห็นปัญญาวิมุตติ ทั้งหมดนี้จึงเรียกว่า “ สัมมาทิฏฐิ “ ฉะนั้น สัมมาทิฏฐิประกอบไปด้วยองค์รู้ทั้งสอง คือ อุภโตภาควิมุตติ รู้ในสภาวธรรม รู้ในปัญญาธรรม บุญรักษา ถอดรหัสธัมม " สังขารุเปกขาญาณ "
วันนี้ ขอนำคำว่า " สังขารุเปกขาญาณ " มาถอดความให้เข้าใจ จะได้ฝึกฝนปฏิบัติธรรมได้อย่างไม่ติดขัด ไม่ผิดทาง จะได้เข้าถึงพระธัมมคำสอนของพระพุทธสาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าฯ
คำสอนที่ว่า " สังขารุเปกขาญาณ " เมื่อถอดคำออกมา ก็จะได้เป็น " สังขาร อุเบกขา ญาณ "
สังขาร คือการปรุงแต่ง ท่านหมายเอาการปรุงแต่งอารมณ์จากการทำความเพียรในเรื่อง " สัญญาเวทยิตนิโรธ " เป็นสำคัญ
เมื่อได้เพียรรื้อถอน สัญญาและเวทนา ที่คั่งค้างอยู่ในจิตได้ถึงระดับหนึ่ง เป็นธรรมดาของผู้ฝึกฝนก็จะปรุงแต่งอารมณ์ต่ออีก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่รู้จบ มันก็จะเป็นสัญญาใหม่ทับถมลงไปอีกจนสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ก็เลยทำให้ฟั่นเฟือนสับสนจนเสียสติ บ้างก็ว่ายากบ้างก็เสียเวลามากบ้างก็ละความเพียร บางรายถึงกับลาสิกขาเปลี่ยนศาสนากันไปก็มาก นี่ก็เพราะ " สังขาร " เพียงตัวเดียว
อุเบกขา คนส่วนใหญ่เรียนมาและถ่ายทอดสอนต่อกันมานานว่า " อุเบกขา " คือการวางเฉย อันที่จริง " อุเบกขา " นี้ ท่านหมายเอา " ทางสายกลาง " เป็นปฐม เหตุเพราะทางสายกลางนั้นอุดมไปด้วยปัญญา ต้องใช้ปัญญาพิจารณาธัมมะ และ ธรรมชาติ มากมายประกอบกัน เพื่อให้เห็นสภาวะธัมมและสภาวะธรรมอันแท้จริงดั่งภาษิตที่ว่า " ธรรมใดที่ไม่มีสภาวะธรรมรองรับ ธรรมเหล่านั้นไม่เป็นปรมัตถุธรรม " หรือ " ธรรมชาติใดๆ ที่มีสภาวะธัมมและสภาวะธรรมรองรับ ธรรมชาติเหล่านั้นเรียกว่า ปรมัตถุ " ฉะนั้น " อุเบกขา " จึงเป็นธัมมะอันประเสริฐยิ่ง เมื่อพิจารณาจนถี่ถ้วนถ่องแท้ สามารถเข้าถึงสภาวะธรรมของธรรมที่มาปรุงแต่งอารมณ์ เห็นเหตุที่เกิดขึ้นและเห็นเหตุแห่งการดับไปย่อมเห็นคุณเห็นโทษของเหตุเหล่านั้น จึงสามารถตั้งจิตไว้ตรงทางสายกลาง นี่เพราะเหตุแห่งการกระทำให้มากในการวินิจฉัย การวินิจฉัยให้มากนี้ ภาษาธัมมเรียกว่า " วิปัสสนา " วิปัสสนานี้มีความหมายว่ามองตัวเองให้มากๆ เมื่อมองตัวเองให้มากจนสัมปทาจึงเป็นเหตุให้ถ่องแท้ ความถ่องแท้ในกิเลสตน ย่อมนำตนให้พ้นจากภัยแห่งความประมาท ภัยแห่งความเขลา ภัยแห่งความโกรธ ภัยแห่งความไร้สติ เป...( และอื่นๆ อีกมาก )
เมื่อกระทำให้มากซึ่งวิปัสสนา อันเป็นเหตุให้เกิดปัญญามากเรียกว่ารอบรู้ในจิตตนเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมทิฏฐินี้มีคุณมาก เป็นเหตุของปัญญาบริสุทธิ ปัญญาบริสุทธินี้เรียกว่า " ญาณ "
ฉะนั้น " สังขารุเปกขาญาณ " จึงหมายถึง สามารถเข้าถึงปัญญาอันบริสุทธิ์ยิ่ง เห็นคุณเห็นโทษของการปรุงแต่งอารมณ์ไปตามกิเลสตน เป็นเหตุให้สามารถวางจิตไว้ตรงกลาง ไม่ปรุงแต่งอารมณ์ใดๆ จากธัมมะและธรรมที่เข้ามากระทบ ด้วยเห็นคุณเห็นโทษของธรรมชาติทั้งหลายแล้ว
บุญรักษา กิตติญาโณ |